“แรมโบ้อีสาน-สุภรณ์ อัตถาวงศ์” ประกาศแยกทาง “ทักษิณ ชินวัตร” สาบานต่อหน้าย่าโม
เลิกเล่นการเมืองเด็ดขาด วอนคนในพรรคเพื่อไทย ต้องรู้จัก “ยอมแพ้”
เมื่อวันที่ 30 พ.ค. ที่อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี (ย่าโม) อ.เมือง จ.นครราชสีมา นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ อดีตแกนนำ
คนสำคัญในพรรคเพื่อไทย และกลุ่มคนเสื้อแดง และอดีตรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สมัยรัฐบาล
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เดินทางมาพร้อม นางสัน อัตถาวงศ์ อายุ 80 ปี มารดา และญาติสนิท
นำเครื่องบวงสรวงมากราบสักการะอนุสาวรีย์ย่าโม พร้อมกับสาบานต่อหน้าย่าโมว่า จะยุติบทบาททาง
การเมืองอย่างสิ้นเชิง หลังใช้ชีวิตบนถนนการเมืองมายาวนานกว่า 14 ปี นายสุภรณ์ กล่าวว่า เมื่อปี 2544
ตนอาสาตัวเข้ามาเป็นตัวแทนของพี่น้องประชาชนชาว จ.นครราชสีมา มีความตั้งใจอยากจะเป็น
ส.ส.ของชาวโคราช ตนได้มากราบขอพรย่าโม ก่อนได้เป็น ส.ส.โคราช เขต อ.ครบุรี อ.เสิงสาง สมปรารถนา
เมื่อตนประกาศวางมือทางการเมือง ตนก็ต้องมาบอกกล่าวคุณย่าโมว่า บัดนี้หลานชายของย่าโม
ได้ประกาศยุติทางการเมือง วางมือทางการเมืองตลอดไป สิ่งสำคัญที่สุดขณะตนเล่นการเมือง
ตนทำอะไรทุกอย่างจะนึกถึงคุณย่าโมตลอดเวลา บัดนี้ตนมากราบขอพรคุณย่า
เพราะว่าย่าโมดูแลตนมาโดยตลอด
นายสุภรณ์ กล่าวต่อไปว่า นับจากวันนี้เป็นต้นไปขอให้ทุกคนสบายใจได้ว่า ในส่วนองค์กรของตน
ที่ตนเป็นประธาน คือ อาสาสมัครพิทักษ์ประชาธิปไตยแห่งชาติ (อพปช.) วันนี้ตนได้ประกาศยุบ อพปช.
ตนพ้นจากตำแหน่งประธาน อพปช.เรียบร้อยแล้ว จึงแจ้งไปถึงมวลสมาชิก อพปช.ทั่วประเทศ ขอให้ยุติ
บทบาทของ อพปช. อย่าได้เอา อพปช.ไปเคลื่อนไหวในองค์กรใดๆทั้งสิ้น ขอให้สมาชิกทุกคนได้ให้
ความร่วมมือกับ คสช. ในการที่จะทำให้บ้านเมืองเกิดความสงบเรียบร้อย อย่าได้มีการตั้งกองกำลัง
หาอาวุธสงครามมาก่อการร้ายใดๆ หากใครไปอ้าง อพปช. หรืออ้างชื่อ “แรมโบ้อีสาน” จะต้องรับผิด
ชอบตัวเองตนไม่รับผิดชอบใดๆทั้งสิ้น เพราะถือว่าตนได้แจ้งต่อทุกฝ่ายไว้แล้ว เพราะฉะนั้นนับจาก
วันนี้ไปภารกิจของตนก็คือทำหน้าที่ลูกดูแลแม่ ดูแลครอบครัว ทำหน้าที่ในฐานะประชาชนคนธรรมดา
คนหนึ่ง ทำหน้าที่ลูกหลาน คุณย่าโมช่วยเหลือสังคมโคราช ช่วยกันเท่าที่เราจะช่วยได้ และจะยืน
อยู่บนผืนดินเมืองโคราชแห่งนี้ ไม่ไปไหนเด็ดขาด
นายสุภรณ์ ยังกล่าวอีกว่า บัดนี้เป็นต้นไปตนไม่อยากให้เรียกชื่อ “แรมโบ้อีสาน” ขอให้เหลือไว้เพียง
ตำนานทางการเมืองไป นับจากวันนี้คือ นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ลูกหลานคนครบุรี-เสิงสาง โคราช
ที่เป็นสามัญชนคนธรรมดาคนหนึ่ง และขอยืนยันอีกครั้งว่าให้ คสช. ทั้งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
และคณะได้สบายใจว่า อพปช.จะไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆอีกและหากมีการเลือกตั้ง ก็ยืนยันจะไม่ลง
สมัครเลือกตั้งอีก จะไปลาออกจากสมาชิกพรรคเพื่อไทย ไม่ยุ่งการเมืองอีก ส่วนความสัมพันธ์กับ
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั้น ตนไม่ได้ติดต่ออะไรกับท่าน ที่จริงตนมีความสัมพันธ์กับทาง
พรรคเพื่อไทยเท่านั้น ส่วนตัวกับท่านทักษิณน้อยมาก ตนไม่ใช่เป็นคนมีนิสัยประจบสอพลอ
และไม่เคยบินไปหาท่า
อดีตเจ้าของฉายา “แรมโบ้อีสาน” กล่าวอีกว่า ตนเล่นการเมืองมาตั้งแต่ปี 2544 ถึงวันนี้ยาวนาน
10 กว่าปี ถึงเวลาที่จะเปิดโอกาสให้นักการเมืองรุ่นใหม่ได้เข้ามาทำหน้าที่ ส่วนความสัมพันธ์กับ
นักการเมือง ก็ยังเป็นพี่เป็นน้องเป็นเพื่อนฝูง เป็นผู้ใหญ่ที่เราเคารพนับถือก็เป็นเรื่องปกติ
แต่ทางการเมืองเราไม่มีเยื่อใยต่อกันอีกแล้ว วันนี้บ้านเมืองบอบช้ำเละเทะมากพอแล้ว สังคมวุ่นวาย
ประชาชนเดือดร้อน เศรษฐกิจสังคมของประเทศเสียหาย ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่ทุกคนต้องยอมถอย
ต้องรู้จักเสียสละ ก้าวหนีความขัดแย้ง ถอยกันคนละก้าว อโหสิกรรมต่อกัน รู้จักยอม รู้จักแพ้ รู้จักถอย
รับรองว่าบ้านเมืองเกิดสันติสุขแน่นอน อย่าเอาความคิดส่วนตัวมาอาฆาตมาดร้ายกัน ทะเลาะเบาะแว้งกัน
เสียจนบ้านเมืองอยู่ไม่ได้ ไม่อยากเห็นสภาพแบบนี้ อยากให้บ้านเมือง
กลับมาสมัครสมานสามัคคีกันเหมือนเดิม
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า การตัดสินใจครั้งนี้เหมือนเป็นการตัดขาดจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายสุภรณ์
กล่าวว่า ความเป็นผู้ใหญ่เรายังคงคบกันได้ แต่เรื่องการเมืองเราตัดขาด เราไม่เอา ถ้าคบกันด้วยเรื่องส่วนตัว
เราคบได้ เราเคารพนับถือกันเหมือนเดิมไม่มีปัญหา วันนี้พอแล้ว ขอปฏิเสธ ทักษิณจะชวนไปทำอะไร
เราไม่เอาแล้วผู้สื่อข่าวถามอีกว่า นายสุภรณ์ออกตัวคนแรกที่ปฏิเสธระบอบทักษิณ นายสุภรณ์ตอบว่า
“ไม่เอาแล้ว ไม่ว่าระบอบไหนก็ตาม ถ้าเป็นเรื่องการเมือง เราขอตัดขาดเลย วันนี้ตนกล้าตัดสินใจถอยออกมา
ถ้าไม่มีใครกล้าตัดสินใจอย่างนี้ บ้านเมืองก็เดินหน้าไม่ได้ ต้องกล้าเด็ดขาด อย่าไปยึดติดกับอำนาจ
ตำแหน่งตัวเอง อย่าไปยึดติดกับผลประโยชน์ของตัวเอง อยากให้นักการเมืองคนในพรรคเพื่อไทยได้คิด
ตามผมแบบนี้บ้าง ให้คิดเหมือนผม ให้เสียสละเหมือนผมบ้าง ผมไม่ได้ปรึกษาคนในบ้างหรือปรึกษาใคร
ผมตัดสินใจด้วยตัวเอง ให้เขาดูเป็นตัวอย่าง ต้องกล้าเสียสละเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของบ้านเมือง
แต่ถ้าไม่เชื่อ ไม่เดินตามผม ไม่เอาตามแนวทางนี้ก็เรื่องของเขา สุดท้ายพวกเขาก็เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน
บ้านเมืองจึงเดินต่อไม่ได้”.