กำลังถกเถียงกันอย่างหนักถึงอนาคตของ เอ-10 ธันเดอร์โบลด์ ทู บ.โจมตีหน้าตาประหลาด ระหว่างเพนตากอน
ที่ต้องการปลดลดงบ กับเหล่าทหารที่เคยเห็นคุณค่าจากการรบของมันว่าจะมีอะไรมาทำหน้าที่ดีได้กว่า
เพราะเอฟ-35 ก็ยังไม่พร้อมรบเลย…
หากพูดถึงเครื่องบินโจมตี และสนับสนุนการโจมตีทางอากาศแบบใกล้ชิด ชื่อที่บรรดาทหารราบ นาวิกโยธิน หรือ
ทหารม้าของสหรัฐฯนึกถึงต้องมี เอ-10 ธันเดอร์โบลด์ ทู (Fairchild Republic A-10 Thunderbolt II) หรือ ชื่อเล่นว่า
วอร์ตฮอร์ก หรือ หมูป่าเขี้ยวตัน เครื่องบินไอพ่นหน้าตาประหลาด 2 เครื่องยนต์ ที่สร้างผลงานในการรบในสมรภูมิต่างๆ
มานับไม่ถ้วนนับตั้งแต่สงครามอ่าวเปอร์เซีย โคโซโว บอสเนีย อัฟกานิสถาน รวมทั้งอิรักและซีเรีย ในปฏิบัติการโจมตี
ทางอากาศต่อกลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม หรือ ไอซิส ที่เฉพาะงานล่าสุดนับแต่ พ.ย.ปี 2014 มันทำหน้าที่ไปแล้ว 562 ภารกิจ
ตามข้อมูลของกองทัพอากาศสหรัฐฯ
การมีส่วนร่วมของเครื่องบินโจมตีรุ่นลุงต่อปฏิบัติการสู้รบกับกลุ่มหัวรุนแรง สวนทางกับแนวทางกลยุทธ์เมื่อปีที่แล้ว
ที่มองว่าเอ-10 เก่าคร่ำคร่าล้าสมัย ไม่เหมาะที่จะส่งเข้าไปในซีเรีย เพราะขาดความสามารถในการเอาตัวรอด หรือ ความเร็ว
ที่จะปฏิบัติการในซีเรียได้ รวมทั้งเอาตัวรอดจากระบบป้องกันภัยทางอากาศ และเครื่องบินรบรุ่นใหม่ๆ นอกจากนี้ยังมีความ
ท้าทายต่ออนาคตของมัน เมื่อกระทรวงกลาโหมต้องการจะปลดประจำการ เครื่องบิน เอ-10 ทั้งหมดเพื่อลดค่าใช้จ่ายที่มี
อยู่จำกัดในตอนนี้
พลอากาศตรี ฮอว์ก คาร์ลไลนส์ ผู้บัญชาการรบทางอากาศ กองทัพอากาศสหรัฐฯ กล่าวกับสื่อว่า เอ-10 ได้มีส่วนร่วมใน
ไม่กี่โหลของการโจมตีทางอากาศในซีเรีย โดยที่มีการใช้งานอย่างจำกัด เพราะมันมีความเสี่ยงมากกว่าเครื่องบินแบบอื่นๆ
เช่น เอฟ-16
นาวาอากาศเอกเอ็ด โชลทิส โฆษกศูนย์ควบคุมกลางการปฏิบัติการกองทัพอากาศสหรัฐ กล่าวว่า เมื่ออ้างอิงจากข้อมูล
ของกองทัพอากาศ มีการใช้งานเอ-10 เพียง 13% ของปฏิบัติการทางอากาศที่ดำเนินการโดยเครื่องบินขับไล่และทิ้งระเบิด
ของสหรัฐฯ และชาติพันธมิตร นับตั้งแต่วันที่ 26 พ.ย.ที่ผ่านมา และวันที่ 6 ก.พ. ที่เอ-10 ได้เข้าร่วมการสู้รบ
โฆษกศูนย์ควบคุมกลางการปฏิบัติการกองทัพอากาศสหรัฐฯ กล่าวอีกว่า จำนวนของภารกิจ หรือการปฏิบัติงาน ไม่ได้เหมือน
กับตัวเลขการโจมตีทางอากาศ ใน 562 ภารกิจ การบินโจมตีโดยเอ-10 ในซีเรีย และอิรัก ระหว่าง 26 พ.ย.-6 ก.พ.
มีอยู่ 139 ภารกิจการโจมตีทางอากาศ ที่หมายถึงมีการปล่อยอาวุธ 1 ลูก หรือ เป็นการกราดยิงด้วยปืนกล
พันจ่าอากาศโทชาร์ลี คีบาฮ์ ทหารอากาศเกษียณอายุ ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ และประธานสมาคมผู้ควบคุมการปฏิบัติการ
ทางอากาศ (TACA) ที่เคยทำหน้าที่ควบคุมการทำงานภาคพื้นดินกับเอ-10 ในอัฟกานิสถานเมื่อปี 2002-2003 กล่าวว่า
การผลัดดันที่ต้องการลดเครดิตของเอ-10 อย่างต่อเนื่องมีอยู่แค่ไม่กี่เหตุผล นั่นคือ เรื่องงบประมาณ และเรื่องการเมือง
ซึ่งในจุดนี้แน่นอนว่าไม่ได้มีผลกระทบต่อศัตรูของเราเลย
“ต้องการลดงบประมาณค่าใช้จ่าย ด้วยการพยายามจะปลดประจำการ เอ-10 หรือ เจ้าหมูป่าเขี้ยวตัน ด้วยเหตุผลที่ง่ายๆ คือ
มันเก่าเกินไป และใช้งานในภารกิจที่หลากหลายไม่ได้ในงบประมาณที่จำกัด มันช้า และหน้าตาหน้าเกลียดเมื่อเทียบกับ
เครื่องบินรุ่นอื่นๆ ที่มีใช้งานไม่ว่าจะเป็น เอฟ-22 หรือ เอฟ-35 ที่มีกำหนดจะเข้ามาแทนทีเอ-10 แต่มันก็มีจุดหนึ่งที่เหนือกว่า
เครื่องบินทุกแบบของ ทอ.สหรัฐฯ คือ มันมีอาวุธหนัก และเกราะที่แข็งแรง ทำให้กลายเป็นอาวุธที่ร้ายกาจเมื่อทำหน้าที่
สนับสนุนแบบใกล้ชิดทางอากาศ”
คีบาฮ์ กล่าวด้วยว่า เกี่ยวกับเรื่องปลดประจำการเอ-10 ผมและทางสมาคม TACA จะกลับไปยังเพนตากอนพร้อมกับผู้ที่เคย
ได้รับเหรียญกล้าหาญจาก เครื่องบิน เอ-10 และ ผู้ที่ทำหน้าที่หน่วยรบพิเศษในสัปดาห์หน้า เพื่อไปหารือกับเลขานุการ
และหัวหน้าเจ้าหน้าที่ของกองทัพอากาศ
เครื่องบินโจมตี เอ-10 ออกแบบมาในยุคทศวรรษที่ 1970 ช่วงที่สหรัฐอเมริกาเผชิญหน้ากับโซเวียตในสงครามเย็น มีความ
กังวลว่าประเทศในยุโรปอาจถูกคุกคามด้วยกำลังรบยานเกราะรัสเซีย อย่างรถถังตระกูล T-54 T-55 และ T-62 ที่ประเทศ
ในกลุ่มวอร์ซอร์แพค และยุโรปตะวันออกมีอยู่จำนวนมาก จึงพัฒนา เอ-10 มาให้มีขีดความสามารถในการปราบรถถังและ
ยานเกราะ ด้วยปืนกลขนาด 30 มม.ลำกล้องหมุนแบบ GAU-8 ที่มีอำนาจการยิงสูง ขณะเดียวกันบทเรียนจากสงคราม
เวียดนามที่เครื่องบินโจมตีของสหรัฐฯ ส่วนมากมีความเร็ว ไม่เหมาะกับการใช้สนับสนุนการรบอย่างใกล้ชิดทางอากาศ
และแบบที่บินได้ช้าก็พกอาวุธได้น้อย และมีอานุภาพไม่รุนแรง ขณะเดียวกัน เครื่องบินที่บินช้าก็มีเกราะน้อย ไม่ทนทาน
ต่อกระสุนปืนเล็กยาว หรือขีปนาวุธพื้น-สู่-อากาศ เอ-10 จึงกำเนิดขึ้นมาเพื่ออุดช่องว่าง และเติมเต็มความต้องการส่วนนี้
เอ-10 เกือบหมดอนาคตในกองทัพสหรัฐฯ เมื่อสงครามเย็นได้จบสิ้นภัยคุกคามจากยานเกราะโซเวียดหายไป แต่มี
สงครามอ่าวเปอร์เซียเกิดขึ้นในปี 1991 เมื่อกองทัพอิรักภายใต้การนำของ ประธานาธิบดี ซัดดัม ฮึสเซ็น บุกเข้ายึดคูเวต
และสหรัฐอเมริกาก็กระโจนเข้าสู่สงครามอ่าวฯ โดยนำ เอ-10 เอ ไปใช้ในภารกิจโจมตีทำลายรถถัง และสนับสนุนการรบ
ทางอากาศจนได้รับชื่อเสียง และกองทัพกลับมาเห็นคุณค่าของมันอีกครั้ง ด้วยตัวเลขการรบ และยอดการทำลายที่สวยหรู
จากการปล่อยขีปนาวุธ อากาศ-สู่-พื้น แบบ AGM-65 มาเวอริคกว่า 90% ที่ใช้ในสงครามอ่าวฯ
ทั้งนี้การที่เครื่องบินรุ่นใหม่อย่าง เอฟ-35 เอ ไม่พร้อมกับการรบ อาจเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ช่วยขัดขวางการปลดประจำการ
ก่อนเวลาอันควรของ เอ-10 โดยเจ้าหน้าที่ในกองทัพสหรัฐฯ คาดว่าต้องใช้เวลาอีก 15 ปี ในการพัฒนาเครื่องบินโจมตี
รุ่นใหม่เพื่อทดแทน เอ-10 ได้จริง ระหว่างนี้ เอ-10 ก็ยังคงมีความเสี่ยงที่จะถูกสอยร่วงตั้งแต่อยู่บนโต๊ะ เพื่อเอาไปจอด
รอแยกขายเป็นเศษเหล็กอยู่นั่นเอง.
ที่มา : washingtonexaminer,thairath