จีนได้เผยโฉมเรดาร์รุ่นใหม่ที่บริษัทผู้ผลิตกล่าวว่า สามารถตรวจจับอากาศยานที่หลบเลี่ยงการตรวจจับด้วยเราดาร์ตรวจไกลทั่วไปได้
เรดาร์แบบใหม่ถูกนำออกแสดงในงานจูไห่แอร์โชว์ มลฑลก่วงตง ที่เพิ่งจะสิ้นสุดลงสุดสัปดาห์ก่อน โดยมีคนทั่วไป
รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่มากนัก และในช่วงเดียวกันสื่อของทางการจีนได้รายงาน อ้างว่า เรดาร์ใหม่ตรวจจับเครื่องบินรบ
F-22 “แร็พเตอร์” (Raptor) ของสหรัฐฯ ได้ ในขณะบินฝึกซ้อมทางทหารเหนือเกาหลีครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้
“แร็พเตอร์” เป็นเครื่องบินรบยุคที่ 5 รุ่นแรกของโลกที่ถูกนำเข้าประจำการในกองทัพสหรัฐฯ ข่าวของสำนักจีน
จึงสทำให้เกิดเสียงโจษจันกันกระหึ่มวงการข่าวกลาโหม เพราะถ้าหากเป็นความจริง ก็จะเป็น “การข้ามฝ่า”
ทางเทคโนโลยีครั้งสำคัญ และเทคโนโลยีสเตลธ์ (Stealth) ก็อาจจะต้องหาทาง “ข้ามฝ่า” เทคโนโลยีตรวจการณ์ไกล
ด้วยเรดาร์ หรืออาจจะล้มเลิกการผลิตเครื่องบินรบยุคที่ 5 ราคาแพง หรือตัดขีดความสามารถในเรื่องนี้ออกไปก็เป็นได้ทื้งสิ้น
ยังไม่มีสำนักใดสามารถตรวจสอบการกล่าวอ้างของสื่อจีนได้ในขณะนี้ เช่นเดียวกับข่าวอีกชิ้นหนึ่งเมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว
ที่สื่อเวียดนามอ้างว่า เรดาร์รุ่นหนึ่งของกองทัพประชาชน ที่ซื้อจากประเทศเบลารุส สามารถตรวจจับ J-20
เครื่องบินรบล่องหนยุคที่ 5 ลำแรกของจีนได้
ถึงแม้ว่าจะไม่มีการตรวจสอบ และหลายฝ่ายลงความเห็นว่า “ไม่สามารถจะเชื่อถือได้” ก็ตาม แต่หากย้อนหลัง
กลับไปเมื่อเดือน มี.ค.2542 เรดาร์ที่ผลิตในเบลารุสรุ่นหนึ่ง ได้เคยสร้างชื่อเสียงเอาไว้ก้องโลก คือ สามารถตรวจ
จับ F-117 “เหยี่ยวราตรี” (Knight Hawk) ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ในช่วงสงครามแคว้นโคโซโว และถูก
ฝ่ายกบฏสอยจนร่วงด้วยจรวดแซมธรรมดาๆ ไม่ว่าเรื่องนี้จะเกิดจากความผิดพลาดของนักบิน หรือเป็น
ความสามารถของเรดาร์ล้วนๆ ก็ตาม
เรดาร์แบบเฟสอาร์เรย์ (Phased-arrayed Radar) รุ่นใหม่ของจีนที่ใช้รหัส JY-26 ถูกนำออกแสดงในงานจูไห่
ที่ผ่านไปเมื่อวันอาทิตย์ก่อน พร้อมกับเรดาร์อีก 4 รุ่น คือ YLC-20, YLC-2X, YLC-8B และ JY-27A แต่คุณสมบัติ
โดดเด่นเฉพาะตัวของ JY-26 ก็คือ ออกแบบมาเพื่อตรวจจับระบบสเตลธ์ของเครื่องบินรบโดยเฉพาะ โดย
“มีความแม่นยำสูง ติดตามจับเป้าหมาย (ที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง) จำแนกเป้าหมาย และสามารถปฏิบัติการ
ได้ในระยะไกล 500 กิโลเมตร” บริษัทผู้ผลิตระบุ
ก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน สื่อของจีนกล่าวว่า เรดาร์ JY-26 ตรวจจับ F-22 “แร็พเตอร์” เครื่องบินรบก้าวหน้าที่สุดของสหรัฐฯ
ในขณะนี้ได้ ขณะบินอยู่เหนือเกาหลี ในระหว่างการฝึกซ้อมทางทหารครั้งหนึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งนายสูกวนชุน (Su Guan-chun)
บรรณาธิการนิตยสารดีเฟ้นซ์อินเตอร์เนชั่นแนล (Defence International) ในไต้หวันกล่าวว่า ระบบเราดาร์ใหม่จะช่วยให้จีน
รับมือกับเทคโนโลยีสเตลธ์ที่กำลังแพร่หลายในประเทศต่างๆ ขณะนี้ได้
ยังไม่มีแหล่งข่าวอิสระแห่งใดสามารถให้รายละเอียดเกี่ยวกับ JY-26 หรือพิสูจน์ขีดความสามารถของมันได้
และยังไม่มีปฏิกิริยาใดๆ จากฝ่ายสหรัฐฯ หรือแม้กระทั่งญี่ปุ่น และเกาหลี ที่ต่างก็กำลังพัฒนาเครื่องบินรบยุคที่ 5
ของตัวเองอย่างเร่งรีบเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม เมื่อย้อนกลับไปพิจารณาดูเหตุการณ์ในแคว้นโคโซโวเมื่อ 15 ปีที่แล้ว จะพบว่ามีรายละเอียดที่ซับซ้อน
เกินกว่าที่จะยกให้เป็นความสามารถของระบบเรดาร์เบลารุสล้วนๆ ได้ และที่สมควรจะต้องยกย่องเป็นอย่างสูงก็คือ
ความรู้ความสามารถของหน่วยเรดาร์ กับหน่วยปืนใหญ่-จรวดต่อสู้อากาศยานของฝ่ายกบฏ กับเคราะห์หามยามร้าย
ของนักบิน F-117 เอง ถึงแม้ตัวเขาจะมีประสบการณ์รบมาอย่างโชกโชน ทั้งจากสงครามปานามา และสงคราม
ในตะวันออกกลางเวลาต่อมาก็ตาม
.
เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่พระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรก นำไปสู่เหตุการณ์กระฉ่อนโลก
ที่เครื่องบินสเตลธ์ถูกยิงตกเป็นลำแรกในโลก
เรื่องทั้งหมดถูกเปิดเผยออกมาโดย “พลปืน” คนที่กดปุ่มยิง F-117 หมายเลข 82-0806 ซึ่งในเวลาต่อมาเมื่อปี 2550
เขาได้ให้สัมภาษณ์ไขความกระจ่างเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ทั้งหมด ทำให้เห็นว่า สิ่งที่ทำให้เขาผู้นี้ประสบความสำเร็จก็คือ
ทีมของเขาตรวจเจอ F-117 ในระยะใกล้ และยิงในระยะเผาขน และยังยิงในขณะที่เครื่องบินกำลังบินผ่านในระยะต่ำมาก
อีกด้วย
เรดาร์ตรวจจับเครื่องบินสเตลธ์ของสหรัฐฯ ได้ในระยะ 40-50 กม. ด้วยเหตุบังเอิญ เมื่อนักบินเผลอเปิดช่องเก็บระเบิดใต้ท้อง
ที่เรียกว่า “bomb bay” มาแต่ไกล ทำให้ความเป็นสเตลธ์ (Stealthiness) ของ F-117A ลำนี้หายไปในบัดดล เครื่องบินได้
ปรากฏเป็นรูปเงาสัญลักษณ์ (Signature) บนจอเรดาร์ และในระยะแค่นั้นพวกเขามีเวลาไม่เกิน 17 วินาที เตรียมอุปกรณ์
ในการรับมือ เพื่อมิให้ฐานจรวดกับฐานเรดาร์ของพวกเขาถูกฝ่ายนาโต้-สหรัฐฯ ล็อกเป็นเป้าโจมตี
ฐานเรดาร์ กับฐานจรวดจะเป็นแห่งแรกๆ เสมอๆ ที่ฝ่ายตรงข้ามจะออกค้นหาเพื่อโจมตีทำลาย ทันทีที่สงครามทางอากาศ
หรือการโจมตีทิ้งระเบิดเริ่มขึ้น
ฝ่ายเซอร์เบีย ยิงจรวดออกไปหลายนัดเมื่อ F-117A อยู่ห่างออกไปราว 13 กม. แต่เครื่องสเตลธ์โดนเข้าเพียงนัดเดียว
ในขณะที่บินโฉบลงต่ำ… “ต่ำจนพวกเราสั่นไหวไปหมด” จรวด S-125 ลูกหนึ่งสร้างความเสียหายให้หนักหนาสาหัส
จนไม่สามารถควบคุมได้ นักบินดีดตัวเองออกได้อย่างปลอดภัย และตกลงหลังแนวข้าศึก เขาหลบซ่อนตัวอยู่ 1 คืน
กองกำลังกู้ภัยช่วยเหลือของสหรัฐฯ กับนาโต้ติดตามตัวเขาจนพบ ฝ่าแนวป้องกันข้าศึกเข้าไปนำนักบินเคราะห์ร้าย
กลับไปยังฐานทัพได้สำเร็จในเช้าวันรุ่งขึ้น
ในปี 2545 พ.อ.โซลตัน ดานี (Zoltan Dani) ซึ่งเป็นชาวเซอร์เบีย ผู้บังคับกองพลน้อยจรวดป้องกันทางอากาศ
หน่วยที่ยิง F-117A ตก ให้สัมภาษณ์ว่า เรดาร์ในเวอร์ชันที่ยูโกสลาเวียผลิตขึ้นเองจากต้นแบบที่ผลิตในเบลารุสนั้น
ผ่านการดัดแปลงมากพอสมควร เพื่อให้มีขีดความสามารถตรวจจับเครื่องบินรุ่นที่ก้าวหน้าได้
แต่หลังเหตุการณ์ในโคโซโว “เหยี่ยวราตรี” ยังคงออกปฏิบัติการต่อมาอีกหลายครั้ง ท้าทายทั้งเรดาร์ และจรวดต่อสู้
อากาศยานของค่ายโซเวียตเก่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสงครามอิรัก แต่ก็ไม่เคยมีลำไหนถูกยิง หรือมีข่าวว่าถูกเรดาร์
ตรวจไกลของฝ่ายใดตรวจจับได้อีก จนกระทั่งกองทัพอากาศสหรัฐฯ ได้ปลดระวางประจำการครบทั้ง 64 ลำ ในเดือน
เม.ย.2551 คงเอาไว้จำนวนหนึ่งเป็นกองหนุน และยังคงบินขึ้นลงฝึกซ้อมอยู่เป็นระยะๆ เรื่อยมาจนถึงวันนี้
เวียดนามเป็นอีกประเทศหนึ่งที่ได้ชื่อว่ามีกองกำลังป้องกันทางอากาศแข็งแกร่ง และระบบป้องกัน
ทางอากาศสุดยอด ผ่านการพิสูจย์จากการยิง B-52 ร่วงมาแล้วกว่า 30 ลำ กองทัพประชาชนมี
อุปกรณ์เครื่องมือทันสมัยมากมาย ทั้งที่เป็นมรดกตกทอดจากสหภาพโซเวียต อัปเกรดขึ้นใหม่
และซื้อใหม่ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ รวมทั้งระบบเรดาร์อันเลื่องลือจากเบราลุสด้วย มีมากจนล้นมือเหลือใช้
ของเก่าบางรุ่นต้องเก็บเข้าพิพิธภัณฑ์ หรือทำลายทิ้ง เนื่องจากดูแลรักษา-ซ่อมบำรุงไม่ไหว
จะนำไปอัปเกรดก็ไม่คุ้ม. — เกี่ยวดึ๊ก (ข่าวการศึกษา) เหวียดนาม.
แร็พเตอร์-เหยื่อรายต่อไป?
US Navy Photo/Released
กลับมาสู่โลกปัจจุบัน ..
F-22 แร็พเตอร์ ไม่ได้มีช่องโหว่แบบ F-117 และเรียนรู้ข้ออ่อนด้อยของเทคโนโลยีสเตลธ์จาก F-117 ซึ่งรีบปลดประจำการ
ออกไป ก็ด้วยสาเหตุใหญ่ เพื่อเปิดทางให้แร็พเตอร์นั่นเอง กองทัพอากาศสหรัฐฯ ได้สาธิตให้โลกภายนอกได้เห็นเป็น
ประจักษ์มาหลายต่อหลายครั้งว่า ไม่ว่าฝ่ายไหนจะคุยคำโตว่าอย่างไร เจ้ากิ้งก่ายักษ์ 65 ล้านปีสายพันธุ์นี้ ก็ยังเป็น
เครื่องบินรบยุคที่ 5 ที่พัฒนาล้ำหน้ามากที่สุดของโลก bomb bay ของแร็พเตอร์ ไม่ได้โหว่แบบ F-117 แต่จะหมุนสลับ
ข้างกันทันทีที่ปลดระเบิดออก จึงไม่ทำให้ปรากฏสัญลักษณ์บนจอเรดาร์อีก
แต่ในขณะเดียวกัน เรดาร์ JY-26 ของจีน (หากเป็นเรื่องจริง) ก็ไม่ได้ผ่านการโมดิฟายใดๆ แต่เป็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ที่อาจ
จะใช้เทคโนโลยีใหม่ ซึ่งโลกตะวันตกไม่เคยเข้าถึงมาก่อน ถึงแม้เครื่องบินรบยุคที่ 5 ของจีนทั้ง 2 รุ่น จะยังไม่เคยผ่าน
การใช้งานจริงพิสูจน์มาก่อน และยังใช้เครื่องยนต์ไอพ่นรุ่นเก่าเมื่อกว่า 20 ปีที่แล้วอยู่ก็ตาม
เมื่อสงครามโคโซโวสิ้นสุดลง ซากชิ้นส่วนห้องนักบิน F-117A เคราะห์ร้ายลำนั้น ถูกนำไปวางแสดงอยู่ภายในพิพิธภัณฑ์
สงครามแห่งกรุงเบลเกรด ประเทศยูโกสลาเวีย มาจนถึงปัจจุบัน แต่ซากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ กับระบบควบคุมต่างๆ
และซาก “บอดี้” อีกจำนวนหนึ่ง มีข่าวเล่าลือกระหึ่มวงการตลอดมาว่า จีนได้ขอซื้อไปจากฝ่ายกบฏ ถึงแม้สถานทูตจีน
จะเคยออกแถลงปฏิเสธเรื่องนี้ก็ตาม .. เพราะฉะนั้นอะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ สื่อกลาโหมหลายสำนักยังคงเกาะติดความ
เคลื่อนไหวเรื่องเรดาร์ที่ก้าวหน้า ทั้งในจีน และในเวียดนามต่อไปอย่างใกล้ชิด.
ที่มา ผู้จัดการ