วันนี้28ก.พ.61ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อวันที่27ก.พ.61ที่ผ่านมานายมานิตย์ กวีรัช อายุ 65 ปี เจ้าของบันดาหยารีสอร์ท และบันดาหยาวิลล่า ม.7 เกาะหลีเป๊ะ อ.เมือง จ.สตูล ได้ร้องขอความเป็นธรรมต่อสื่อมวลชนกรณีถูกนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ระบุว่าเป็นนายทุนผู้มีอิทธิพล ฮุบที่ดินของโรงพักเกาะหลีเป๊ะ 10 ไร่ ทำให้ธุรกิจของตนได้รับผลกระทบเกิดความเสียหาย เสียชื่อเสียง
โดยนายมานิตย์ กล่าวว่าจริงๆแล้วตนเป็นนักธุรกิจไม่ใช่ผู้มีอิทธิพล เกาะหลีเป๊ะสมัยก่อนยังไม่เจริญตนเข้ามาลงทุนสร้างความเจริญมีภาษีกลับสู่จังหวัด จึงวอนขอความเป็นธรรมให้แก่ตนด้วย ซึ่งตนได้เข้าไปในที่ดินของตนเพราะมีสิทธิ์ ในที่ดินน.ส.3 ที่รัฐออกมาให้อย่างถูกต้อง แต่ที่ตำรวจอ้างว่าอุทยานให้ใช้ที่10ไร่นั้นต้องคุยกันในชั้นศาล ส่วนที่มีการกล่าวอ้างว่าเอกสารที่ดินนั้นมีการปลอมแปลงหรือเท็จก็ต้องไปพิสูจน์เอาแต่ส่วนของตนนั้นตอนที่ซื้อที่ดินแปลงนี้มามีเอกสารนส.3แล้วการซื้อที่ดินต้องมีการนัดที่ดินข้างเคียงมีการติดประกาศชัดเจนที่อำเภอก็ไม่มีใครมาอ้างสิทธิ์และเป็นการติดประกาศอย่างถูกต้องตนมั่นใจในครุฑของทางราชการตราบที่ครุฑยังไม่ยกเลิกตนก็ยังมั่นใจว่ายังมีสิทธิ์ในที่ดินผืนนั้น อย่างไรก็ตามสำหรับที่ดินที่มีปัญหากับโรงพักเกาะหลีเป๊ะนั้น ก่อนที่ตนจะเข้าซื้อที่ดินดังกล่าว 2 ปี ชาวบ้านเจ้าของที่ดินเดิมเคยมีปัญหากับเจ้าหน้าที่ตำรวจเรื่องที่ดินผืนดังกล่าวมีการฟ้องร้องกันและศาลตัดสินให้ชาวบ้าน 4 รายชนะ ตนก็ยึดถือคำสั่งศาล ตอนนี้ที่ดินของตนมีปัญหากับอุทยานฯตะรุเตาเพียง 3 ไร่เศษเท่านั้นซึ่งหากมีการตัดสินว่าเป็นของอุทยานจริงตนก็ยินดีคืนให้ซึ่งที่ดิน 3 ไร่ที่ลงทุนทำบันดาหยาวิลล่าไปก็มูลค่าตอนนี้50-60 ล้าน ส่วนเรื่องที่ดินที่ว่าตนรุกของตำรวจ 10 ไร่นั้นตนถือว่ามีเอกสารถูกต้อง หากตำรวจบอกว่าขอจากอุทยานและเป็นที่อุทยานให้ใช้10 ไร่ ก็เอามาแสดง ซึ่งที่ดินของตนบนเกาะหลีเป๊ะมีทั้งหมด50 กว่าไร่ตนทำประโยชน์เพียง 30 กว่าไร่ ที่เหลือตนยังไม่กล้าดำเนินการใดๆเพราะมีปัญหาเรื่องทับซ้อนกันอยู่ แต่อยากวอนขอให้สังคมเข้าใจตนด้วยว่าไม่เคยคิดเอาที่ดินของใครมาเป็นของตนและตนยืนยันว่าเป็นนักธุรกิจไม่ใช้ผู้มีอิทธิพลตนเชื่อมั่นในเอกสารทางราชการเพราะหากมีการปลอมแปลงจริงตนก็เป็นผู้ที่ถูกกระทำคนหนึ่งเหมือนกัน
นิตยา แสงมณี // ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดสตูล