จากกรณี “ตูน บอดี้สแลม” หรือ นายอาทิวราห์ คงมาลัย วิ่งการกุศลในโครงการ “ก้าวคนละก้าว” จากชายแดนที่ใต้สู่เหนือสุดแดนสยาม เริ่มต้นจาก อ.เบตง จ.ยะลา และสิ้นสุดที่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย รวมระยะทาง 2,191 กิโลเมตร เพื่อระดมเงิน 700 ล้านบาท จัดซื้อเครื่องการแพทย์ให้กับโรงพยาบาล 11 แห่งทั่วประเทศ โดยคณะของ “ตูน บอดี้สแลม” มีกำหนดการวิ่งมาถึง จ.นครศรีธรรมราช ในวันที่ 11 พ.ย.นี้ โดยนายจิมมี่ ชวาลา นักธุรกิจห้างผ้ารายใหญ่ของ จ.นครศรีธรรมราช “ห้างผ้าจิมมี่” ตั้งใจจะบริจาคเงินให้กับโครงการก้าวคนละก้าวของ “ตูน บอดี้สแลม” เป็นเงินจำนวน 16 ล้านบาท ในนามชาวนครศรีธรรมราช 1,600,000 ล้านคน บริจาคคนละ 10 บาท เป็นเงินทังหมด 16 ล้านบาทนั้น ซึ่งยังมีเรื่องเล่าของชายผู้ใจดีแห่งเมืองพระคนนี้ที่ทุกคนอาจยังไม่รู้อยู่ในนวนิยายด้วย
ทั้งนี้คนใกล้ชิด จิมมี่ เปิดเผยด้วยว่า ทุกวันคุณจิมมี่จะพกเงินสดไว้ กระเป๋าซ้ายสำหรับทำบุญ กระเป๋าขวาสำหรับทำธุรกิจ เขาบอกว่าเงินทำบุญ ก็คือเงินของชาวนครศรีธรรมราชที่มาซื้อผ้าของเขา เขาเพียงแค่ทำหน้าที่เป็นนายไปรษณีย์ นำเงินไปทำประโยชน์ นอกจากนี้ จิมมี่ ยังบริจาคช่วยเหลือคนอีกมากมายทั้งโครงการเลี้ยงอาหารกลางวันเด็ก บริจาคช่วยคนป่วย สร้างบ้านให้คนจน มีทั้งที่เปิดเผยและไม่เปิดเผย เพราะเขามักจะบริจาคในนามชาวจังหวัดนครศรีธรรมราชไม่ใช้ชื่อจริง
ก่อนหน้านี้ จำลอง ฝั่งชลจิตร นักเขียนชื่อดังชาวนครศรีธรรมราช เคยเล่าเอาไว้ว่า ปี2553 ได้รับทุนจากมูลนิธีสดศรี-สฤษดิ์วงศ์ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ให้เขียนนวนิยายกระตุ้นการเติบโตภายใน (Inner Growing) โดยสืบหาบุคคลที่มีจิตสำนึกและบทบาทต่อสังคมในด้านสร้างเสริมพัฒนาจิตวิญญาณของมนุษย์ บุคคลผู้ยึดมั่นในอุดมการณ์ จรรยาบรรณและเสียสละ แล้วนำประวัติและวิถีปฏิบัติมาปรุงแต่งเป็นนวนิยาย
“ ผมเลือก ‘จิมมี่ ชวาลา’ เจ้าของร้านผ้าผู้มีใจเมตตา และเสียสละแบ่งปันแก่สังคมมายาวนานต่อเนื่อง ‘สิทธา’ แปลว่า ผู้สำเร็จ, ผู้มีชื่อเสียง, งดงามและศักดิ์สิทธิ์ ‘เศรษฐี’ คือผู้เสียสละแบ่งปัน ‘สิทธาเศรษฐี’ เป็นนวนิยายแนว fictionalized Biography ที่ได้รับความนิยมมากมายในโลกตะวันออก
Advertisement
อย่างไรก็ตามเมื่อหนังสือในรูปเล่ม นวนิยาย สิทธาเศรษฐี พิมพ์ออกมาปรากฏว่าได้เสียงตอบรับจากนักอ่านเป็นอย่างดี หลายคนอ่านแล้ว พูดไปในทิศทางที่ตรงกันนั่นคือ น้ำตาไหล อาทิ
เราทุกคนเป็นเศรษฐีได้
ผมอ่านหนังสือเล่มนี้แล้วร้องไห้ในหลายตอนเลยครับ เมื่อสัมผัสกับเรื่องการทำดีมักกลั้นน้ำตาไม่อยู่แบบนี้บ่อยๆ
เจอหนังสือเล่มนี้ในนิตยสารสีสัน อ่านบทวิจารณ์แล้วสนใจมาก เมื่อนักเขียนที่ผมชื่นชอบมากแต่งเรื่องจากชีวิตคนที่มีตัวตนจริง และเขาคนนั้นเป็นคนดีมาก
หนังสือเป็นหนึ่งในหกของโครงการที่มุ่งหวังให้นักเขียน 6 คนเขียนชีวิตของคนดีที่สามารถเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้อ่านเปลี่ยนความคิดมาทำความดี ให้ผู้อ่านเห็นว่าคนดีมีอยู่จริงบนผืนแผ่นดินนี้
สิทธาเศรษฐีเป็นเรื่องราวของเจ้าของห้างขายผ้าจิมมี่กลางเมืองนครศรีธรรมราช
เปิดเรื่องกับจบเรื่องเป็นฉากเดียวกัน เหมือนในหนังเลย
แล้วเรื่องราวของคุณจิมมี่ก็เริ่มเล่าให้ฟังมาเป็นลำดับตั้งแต่ต้นตระกูลว่าเดินทางมาจากอินเดียเข้ามาในเมืองไทยได้อย่างไร แล้วทำไมเดินทางมาทางใต้แทนที่จะเป็นกรุงเทพฯ การต่อสู้ของบรรพบุรุษของคุณจิมมี่
จนมาถึงตอนที่คุณจิมมี่เข้าโรงเรียนประถมและถอดถุงเท้าให้เพื่อนที่ยากจน มีถุงเท้าแค่คู่เดียว เมื่อคุณแม่รู้เพราะเห็นเด็กชายจิมมี่กลับมาไม่มีถุงเท้า คุณจิมมี่ก็เล่าความจริง คุณแม่ไม่ดุ แต่ชม แล้วสอนต่อว่า
“แต่เราก็ทำแบบนี้บ่อยๆ ไม่ได้นะ เพราะเราก็ไม่ได้ร่ำรวยมาก” เด็กชายจิมมี่เข้าใจและรับปาก
ฉากนี้ดีมาก คุณแม่เข้าใจลูก ไม่ดุ ทำให้ลูกกล้าพูดความจริง
ฉากท้ายๆ ตอนคุณแม่ใกล้จะสิ้นลม แม่พูดว่า “เป็นเศรษฐีเป็นยากนะลูก เป็นยากกว่าหมอหลายเท่า (คุณจิมมี่อยากเรียนหมอ) แม่ทราบตั้งแต่เห็นลูกเอาถุงเท้าให้เพื่อนแล้ว”
สุดยอดเลยครับคุณแม่ พ่อแม่ทั้งหลายเรียนรู้ไว้นะครับ ไม่ใช่เอะอะก็ด่า ก็ดุ หากวันนั้นคุณแม่ดุด่า ก็คงไม่มีคุณจิมมี่ในวันนี้
จนเข้าชั้นมัธยมคุณจิมมี่ต้องไปอยู่โรงเรียนประจำที่อินเดีย และที่นี่หล่อหลอมคุณจิมมี่จนเป็นคนแบบนี้
ลูกสาวคนโตของผมกำลังจะเข้าโรงเรียนประจำ ตั้งใจว่าจะเอาหนังสือเล่มนี้ไปขอลายเซ็นต์จากคุณจิมมี่ แล้วส่งต่อให้โรงเรียนของลูกให้ผู้บริหารของโรงเรียนอ่าน จะได้ดำเนินกิจกรรมของโรงเรียนเพื่อทำให้เด็กออกมาเป็นคนดี
กิจกรรมชมรมเป็นส่วนหลักที่ทำให้เด็กรู้จักคิด ดำเนินชีวิตอยู่ได้
ลูกสาวโทรมาถามว่าอยู่ชมรมไหนดี ตอนพ่ออยู่ในโรงเรียนมีชมรมอะไรบ้าง เลยสาธยายไปหลายชมรมเลย แต่มานึกได้ว่าชอบชมรมอาสาพัฒนานะ แบบว่าเพื่อชีวิต เดี๋ยวไปบอกลูกดีกว่า
แต่กิจกรรมที่อยากให้ลูกได้ร่วมมากที่สุดคือทำละครเวที ว่ากันว่ากิจกรรมนี้จำลองการทำงานได้ดีทีเดียว
ต่อมาคุณจิมมี่กลับมาทำงานที่ร้านแทนที่จะเรียนหมอต่อ ตอนนี้แหละครับที่ทำดีจนเรียกเศรษฐีได้เต็มปาก
เศรษฐีต่างจากคนรวยอย่างไรครับ?
เศรษฐีคนนี้บริจาคเลือดครั้งแรก 2 แขน โดยโกนหนวดเคราออกเพื่อไม่ให้พยาบาลจำได้ และบริจาคมาอย่างต่อเนื่อง
เศรษฐีคนนี้บริจาคอาหารกลางวันให้เด็กๆ ในหลายโรงเรียน จนเด็กๆ สวดมนต์ให้เขาที่ทำให้พวกเขาได้อิ่มท้องและเรียนหนังสือรู้เรื่อง
เศรษฐีคนนี้ช่วยค่ารักษาพยาบาลกับคุณแม่ที่มาเฝ้าลูกในวันที่หลานคลอด โดยไม่ได้รู้จักกัน หลายเดือนต่อมาคุณแม่คนนั้นเอากุ้งมาฝากลังโตด้วยความสำนึกบุญคุณ
เศรษฐีคนนี้วิ่งลงไปแบกกระสอบข้าวสารลงจากรถเพื่อให้ได้นำไปแจกจ่ายชาวบ้านที่น้ำท่วม จนกระดูกเคลื่อน
เศรษฐีคนนี้รับพนักงานด้วย 2 คำถาม คือ พ่อแม่นอนกี่โมง? และ พ่อแม่ชอบทานอะไร?
เศรษฐีคนนี้…สิทธาเศรษฐี
พระพุทธเจ้ามักเดินทางไปพบเศรษฐีเพราะเขาเป็นคนดี
หากคนรวยคนไหนไม่ดีก็จะพยายามเทศนาให้ทำความดี
เศรษฐีไม่จำเป็นต้องร่ำรวย เหมือนที่คุณจิมมี่บอกกับแมน ผู้เป็นลูกน้องว่า “เราทุกคนเป็นเศรษฐีได้นะแมน” หลังจากไปบริจาคเลือดครั้งที่ 2 ด้วยใบหน้าไร้หนวดเครา
ไม่ยากที่จะเป็นเศรษฐี แค่ทำความดีอย่างสม่ำเสมอ
วันนี้คุณเป็นเศรษฐีหรือยังครับ?
มีความสุขนะครับท่านเศรษฐีทั้งหลาย
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย คนขับช้า ใน เก็บเอามาฝาก
ขอบคุณข้อมูล : จำลอง ฝั่งชลจิตร , คนขับช้า