สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก องค์พระประมุขรัชกาลที่ 5 แห่งภูฏาน
พระราชทานพระบรมราโชวาทระหว่างการเปิดประชุมรัฐสภาของประเทศ โดยพระองค์ระบุ นักการเมืองที่ดี
ต้อง “ไม่ลุ่มหลงแต่ชัยชนะในการเลือกตั้ง” และผลประโยชน์ส่วนตัวโดยอ้าง “ระบอบประชาธิปไตย”
และทรงเน้นย้ำว่าการปกครองแบบประชาธิปไตยที่ดีนั้น ต้องไม่สร้าง “ความแตกแยกในชาติ”
สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี วัย 34 พรรษา พระราชทานพระบรมราโชวาทต่อที่ประชุมรัฐสภาภูฏาน
ในกรุงทิมพู เมืองหลวงของประเทศ โดยทรงเตือนสติบรรดานักการเมืองฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน
ให้คำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นสำคัญ พร้อมทรงย้ำ นักการเมืองที่ดี
จะต้องไม่ “ลุ่มหลงมัวเมากับชัยชนะในการเลือกตั้ง” และใช้ระบอบประชาธิปไตยเพื่อประโยชน์
ของตัวเอง
สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งภูฏาน ซึ่งขึ้นครองราชสมบัติต่อจากพระราชบิดาของพระองค์เมื่อ
9 ธันวาคม ปี 2006 ยังทรงตรัสว่า แม้การเสริมสร้างระบอบประชาธิปไตยให้เข้มแข็งจะถือเป็น
“เป้าหมายหลัก” ของราชอาณาจักรของพระองค์ แต่การใช้ระบอบประชาธิปไตย
จะต้องไม่นำมาซึ่ง “ความแตกแยก” ของคนในชาติ
“ความแข็งแกร่งของประชาธิปไตยและความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนคือเป้าหมายหลักของภูฏาน
แต่จะมีประโยชน์อันใดเล่า ถ้าระบอบประชาธิปไตยนั้นกลายเป็นสิ่งที่ทำลายความเป็นอันหนึ่ง
อันเดียวกันของประชาชนในสังคมของเรา ขอให้พวกท่านทั้งหลายที่เป็นนักการเมืองในรัฐสภาแห่งนี้
จงอย่าลุ่มหลงแต่ชัยชนะในการเลือกตั้ง จนหลงลืมประชาชนและคำสัญญา
ที่พวกท่านเคยให้ไว้กับพวกเขา” กษัตริย์จิกมี ตรัสต่อที่ประชุมรัฐสภาภูฏาน
ในตอนท้ายของการพระราชทานพระบรมราโชวาทครั้งนี้ สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก
ยังทรงเน้นย้ำว่า ในความเป็นจริงแล้วระบอบประชาธิปไตยถือเป็นระบอบการปกครองที่ดี แต่ที่ผ่านมา
กลับมีประชาชนในหลายประเทศทั่วโลกสูญเสียความเชื่อมั่นในการปกครองรูปแบบนี้
ซึ่ง “การสูญเสียศรัทธาในประชาธิปไตย” นี้มีที่มาจากพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ของบรรดานักการเมือง
และผู้แทนที่มาจากการเลือกตั้งนั่นเอง
ทั้งนี้ ภูฏาน ซึ่งเป็นบ้านของประชากรมากกว่า 742,000 คน ได้เปลี่ยนการปกครองจากสมบูรณา
ญาสิทธิราชย์มาเป็นประชาธิปไตยตั้งแต่เมื่อปี 2008 ภายใต้การผลักดันของสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี
โดยในปัจจุบัน สภาผู้แทนราษฎรของราชอาณาจักรบนเทือกเขาหิมาลัยแห่งนี้มีจำนวนผู้แทนเพียง
47 ที่นั่งและมีพรรคการเมืองหลักเพียง 2 พรรค