แก็งค์พม่าโหดมัดมือสามี หวังข่มขืนภรรยาเพื่อนร่วมชาติ ก่อนใช้มีดแทงฝ่ายสามีจนเสียชีวิตโยนศพทิ้งน้ำ ส่วนภรรยาวิ่งหนีกระโดดลงบ่อน้ำพรางตัวกับกอหญ้ารอดตายหวุดหวิด
เวลา 22.00น.วันที่ 4 กันยานยน 2560 พันตำรวจโท รักษ์ศักดิ์ เมฆจินดา สารวัตรป้องกันปราบปรามสถานีตำรวจภูธรบางพลี ได้รับแจ้งว่ามีชาวบ้านพบกลิ่นเหม็นเน่าทั่วบริเวณบ่อน้ำข้างโรงงาน ภายในซอยธนสทธิ์ แยกซอย รัตนโชค 12/7 ตำบลบางปลา อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ หลังรับแจ้งจึงรายงายให้ผู้บังคับบัญชาทราบ พร้อมด้วย พันตำรวจเอก โสภณ มงคลโสภณรัตน์ ผู้กำกับการ นำกำลังเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน อาสามูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เดินทางเข้าตรวจสอบ
ที่เกิดเหตุเป็นบ่อน้ำขนาดใหญ่ ข้างโรงงานรีไซเคิล ที่กลางบ่อน้ำใกล้กับป่าปรือ พบร่างของชายสภาพสวมกางเกงขาสั้นสีเหลือง เสื้อยืดสีดำลายขวาง นอนคว่ำหน้าลอยอยู่ในน้ำส่งกลิ่นเหม็นเน่าไปทั่วบริเวณ ทราบชื่อต่อมาคือนาย ต๊ะกูกู อายุ 22 ปี ชาวพม่า เสียชีวิตมาแล้วประมาณ 3 วัน
จากการสอบถามนางสาว ยามเย๊ะชาม อายุ35 ปี ชาวพม่า ภรรยาผู้ตายเล่าว่า เมื่อประมาณเที่ยงคืนเศษของคืนวันที่ 2 กันยายน 2560 ที่ผ่านมา มีกลุ่มคนร้ายเป็นชาย 6 คน ซึ่งจำได้ว่า 1 ใน 6 คนร้าย เคยเป็นคนที่เคยมีปากเสียงกับผู้ตายด้วย คนร้ายทั้ง 6 คนบุกเข้าไปในห้องพักของตนและสามี ที่อยู่ห่างจากจุดพบศพประมาณ 400 เมตร ก่อนจะใช้เชือกมัดมือทั้ง 2 คน ลากออกมาจากห้อง ไปที่บ่อน้ำที่พบศพ เมื่อมาถึงบ่อน้ำดังกล่าวกลุ่มคนร้ายได้ใช้มีดจ้วงแทงสามี และมี 1 ในจำนวนคนร้ายที่มาด้วยกัน 6 คน ได้พูดออกมาเป็นภาษาพม่าว่า ฆ่าผู้ชายก่อนแล้วค่อยข่มขืนผู้หญิง เมื่อตนได้ยินดังนั้น จึงตัดสินใจ วิ่งหนีตายออกมาอย่างสุดชีวิต และหนีกระโดดลงไปในบ่อน้ำ และอาศัยกอหญ้าหรือกอปรือที่ขึ้นหนาทึบ บวกกับความมืดอำพรางตัว จนกลุ่มคนร้ายพากันหนีไป กระทั่งเช้าตนจึงขึ้นจากบ่อน้ำไปขอความช่วยเหลือจากชาวบ้านพาไปแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ กระทั่งมาวันนี้ตนเองได้มาที่บ่ออีกครั้ง พบว่ามีกลิ่นเหม็นเน่าคลายกับกลิ่นศพจึงได้ขอความช่วยเหลือจากคนไทยให้ตามเจ้าหน้าที่กู้ภัยมาช่วยกันลงน้ำหาตามป่าหญ้าและใต้น้ำ ตามที่มาของกลิ่น ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่ว โมง จึงพบว่าศพของสามีได้ลอยออกจากป่าหญ้า
ในเบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่พบบาดแผลตามลำตัวผู้ตายหลายแห่ง ซึ่งจะได้สอบสวนภรรยาผู้ตายถึงสาเหตุที่แท้จริง ก่อนนำศพของผู้ตายนำส่งชันสูตรที่สถาบันนิติเวชเพื่อหาสาเหตุของการเสียชีวิตเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
ขอบคุณภาพข่าว