รอยเตอร์ส สื่อชื่อดังของอังกฤษ รายงานว่า บริษัทเอ็กซอน โมบิล ออกแถลงการณ์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาว่า ได้ระงับสายงานการผลิตของโรงกลั่นน้ำมันภายในนิคมอุตสาหกรรม เมืองเบย์ทาวน์ ที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกของรัฐเทกซัส ห่างจากเมืองฮุสตันเพียง 40 กิโลเมตร อย่างไม่มีกำหนด เนื่องจากอิทธิพลของ เฮอริเคนฮาร์วีย์ แม้ว่าจะอ่อนกำลังลงแล้ว แต่ยังส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติการของโรงงาน โดยเฮอริเคนฮาร์วีย์ ถือเป็นพายุรุนแรงที่สุดในรอบ 56 ปีของรัฐเทกซัส และในรอบ 12 ปีของสหรัฐฯ
ด้าน เอ็กซอน โมบิล ยืนยันว่า โรงกลั่นน้ำมันแห่งอื่นของบริษัท ที่ตั้งอยู่ในรัฐเทกซัส ยังคงเดินหน้าการผลิตตามปกติ แต่การปฏิบัติการทั้งหมดในนิคมเบย์ทาวน์ ซึ่งเป็นนิคมปิโตรเลียมขนาดใหญ่อันดับ 2 ของสหรัฐ และอันดับ 7 ของโลก ต้องหยุดชะงักลง หลังสร้างความวิตกกังวลให้กับหลายฝ่าย ว่าอาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการผลิตน้ำมัน และราคาเชื้อเพลิงในตลาดโลก เนื่องจากกำลังการผลิตต่อวันของนิคมเบย์ทาวน์ อยู่ที่โดยเฉลี่ย 584,000 บาร์เรล อย่างไรก็ตาม โรงกลั่นน้ำมันพอร์ต อาร์เธอร์ ของบริษัทซาอุดี อารัมโก ซึ่งเป็นโรงกลั่นขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐ ตั้งอยู่ชานเมืองฮุสตัน ด้วยกำลังการผลิต 603,000 บาร์เรลต่อวัน ยังคงดำเนินการปกติ
นอกจากนี้ มีการคาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันเบนซินของตลาดเอเชีย ในสัปดาห์นี้จะปรับเพิ่มขึ้นอีก 7% สู่ระดับสูงที่สุด ในรอบกว่า 2 ปี และนักลงทุนเพิ่มการจับตาว่า กระทรวงพลังงานของสหรัฐฯ จะตัดสินใจปล่อยน้ำมันบางส่วนจากคลังสำรองทางยุทธศาสตร์ (เอสพีอาร์) ที่มีอยู่เกือบ 680 ล้านบาร์เรล หรือไม่ ขณะที่ เอสพีอาร์ ถือเป็นคลังสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก จัดตั้งขึ้นตามนโยบายของรัฐบาลวอชิงตัน ในสมัยประธานาธิบดี เจอรัลด์ ฟอร์ด เมื่อปี 2518 โดยตั้งอยู่ที่รัฐเทกซัส และรัฐลุยเซียนา
ทั้งนี้ สำนักงานอุตุนิยมวิทยาแห่งชาติสหรัฐ (เอ็นดับเบิลยูเอส) พยากรณ์ปริมาณน้ำฝนสะสมไม่ต่ำกว่า 76 เซนติเมตร ในเมืองฮุสตัน ซึ่งเป็นเมืองใหญ่อันดับ 4 ของสหรัฐฯ ภายในอีก 48 ชั่วโมงข้างหน้า ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เตรียมลงพื้นที่ในรัฐเทกซัส ในวันอังคารนี้ เพื่อจัดการสถานการณ์ฉุกเฉินจากภัยพิบัติทางธรรมชาติครั้งนี้ หลังมีผู้เสียชีวิตแล้ว 5 ราย และยังถือเป็น “บททดสอบแรก” ของรัฐบาลทรัมป์อีกด้วย