ตามนโยบายของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร.,พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร รอง ผบ.ตร.,พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ให้ปราบปรามกลุ่มเครือข่ายองค์กรอาชญากรรมทางออนไลน์ ที่สร้างเดือดร้อนให้ประชาชนจำนวนมาก โดยเฉพาะขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์
โดยเมื่อวันที่ 20 ต.ค.2567 พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น.,พล.ต.ต.วสันต์ เตชะอัครเกษม รอง ผบช.น.,พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น.,พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น.,พ.ต.อ.อิสเรศ ปาลาพงศ์ รอง ผบก สส.บช.น.,พ.ต.อ.อรรชวศิษฎ์ ศรีบุญยมานนท์ ผกก.สส.3 บก.สส.บช.น.,พ.ต.ท.ปกรณ์ ทองช่วง และ พ.ต.ท.วิโรฒ จนุบุษย์ รอง ผกก.สส.3 บก.สส.บช.น. ได้สั่งการให้ พ.ต.ต.วรุตม์ คำหล้า สว.กก.สส.3 บก.สส.บช.น. พร้อมด้วย ร.ต.อ.พิชชากร กองสวัสดิ์,ร.ต.อ.พงศธร อารีย์ รอง สว.กก.สส.3 บก.สส.บช.น.ชุดปฏิบัติการที่ 3
ได้จับกุมตัว น.ส.ลักษมีฯ อายุ 50 ปี ภูมิลำเนา ตำบลบ้านหว้า อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น ตามหมายจับ ศาลอาญา ที่ 1222/2561 ลงวันที่ 11 มิถุนายน 2561 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันพยายามฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นคนอื่น,เป็นอั้งยี่,เป็นซ่องโจรและร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ” (บัญชีม้า + แก๊งคอลเซ็นเตอร์) โดยจับกุม บริเวณหน้าร้านนวด ถนนสุขาภิบาล 2 แขวงประเวศ เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร
พฤติการณ์ที่ถูกออกหมายจับ กล่าวคือ ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุ ผู้เสียหาย อายุ 64 ปี ได้รับโทรศัพท์อ้างว่าเป็นตำรวจแจ้งกับผู้เสียหายว่าผู้เสียหายมีคดีเกี่ยวกับยาเสพติดและคดีฟอกเงิน ทางตำรวจจะยึดบัญชีและหลอกให้โอนเงินเพื่อป้องกันการอายัดบัญชีโดยให้โอนเงินให้ เป็นเงิน 120,000 บาท ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนเงินให้ทำให้ได้รับความเสียหาย มาแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ภายหลังถูกจับกุม ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพกับเจ้าหน้าที่ว่า ช่วงปี 61 ตนทำงานร้านนวดใน กทม.ต่อมาได้รับการชักชวนจากเพื่อนร่วมงานไปทำงานนวดที่ประเทศมาเลเซีย แต่เมื่อไปถึงกลับได้ทำงานเป็นพนักงานคอลเซ็นเตอร์ทำหน้าที่รับสายจากคนไทยได้ค่าแรงวันละ 500 บาท ไปพร้อมกับเพื่อนอีก 8 คน เมื่อไปถึงมีชาวไต้หวันเป็นหัวหน้าแก๊ง ยึดมือถือพร้อมแอปธนาคารของตน และให้ตนปลอมเป็นคอลเซ็นเตอร์หลอกเป็นเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ไทย คอยรับสายโดยมีสคริปให้ตนท่อง เมื่อเหยื่อหลงเชื่อตนจะโอนสายให้เพื่อนร่วมงานผู้ชายที่มาด้วยปลอมเป็นตำรวจไทย เพื่อหลอกให้เหยื่อหลงเชื่อว่ามีคดีเกี่ยวกับยาเสพติดและคดีฟอกเงิน ทางตำรวจจะยึดบัญชีและหลอกให้โอนเงินเพื่อป้องกันการอายัดบัญชีโดยให้โอนเงินมาให้แก๊งของตน เมื่อตนทำงานถึงวันที่ 10 เจ้าหน้าที่ตำรวจมาเลเซียพร้อมด้วยตำรวจไทยบุกทลายแก๊งของตนในบ้านพัก 2 ชั้นภายในเมืองแห่งหนึ่งติดชายแดนของประเทศไทย ตนเชื่อว่ากลุ่มของตนที่หนีมาทำงานด้วยกัน 2 คนเป็นสายตำรวจทำให้แก๊งของตนถูกจับ เพราะว่า 2 คนที่ตนเชื่อว่าเป็นสายตำรวจ ไม่ถูกจับ
ตนรู้สึกเสียใจที่ต้องติดคุกที่มาเลเซียและต้องถูกจองจำในคุกไทยอีก 5 ปี (หมายจับคดีเดียวกัน สน.ลาดกระบัง)แต่ตนเป็นนักโทษชั้นดีได้อภัยอภัยโทษ เหลือจำคุกจริง 3ปี3เดือน เมื่อพ้นโทษออกมาตนกลับไปอยู่ภูมิลำเนา จ.ขอนแก่น 2 ปี ต่อมามาทำงานเป็นพนักงานนวดย่านประเวศเพียง 1 ปี ตนกลับถูกดำเนินคดีกับสิ่งที่ตนได้ก่อกรรมไว้ในอดีต
ตนขอปฏิเสธ ที่ผู้เสียหายถูกหลอกโอนเงินจำนวน 120,000 บาท เข้าบัญชีของตน ตนไม่รู้ว่ามีเงินเข้าแต่อย่างใด เพราะหัวหน้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ยึดมือถึงตนไว้ เพียงยอมรับว่าตนทำหน้าที่เป็นปลอมเป็นคอลเซ็นเตอร์ของเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์คอยหลอกเหยื่อคนไทยเท่านั้น
สุดท้ายอยากฝากถึงคนที่คิดจะทำผิดอยากทำผิดเลย ถ้าย้อนเวลาไปได้ตนจะไม่กระทำต่อคนไทยด้วยกัน พร้อมเอ่ยคำว่าเสียใจกับเจ้าหน้าที่
พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ขอแจ้งเตือนพี่น้องประชาชน ให้ระมัดระวังขบวนการหลอกพาคนไทยไปทำงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ริมชายแดนประเทศเพื่อนบ้านยังคงมีอยู่ เหยื่อส่วนใหญ่เป็นคนที่กำลังหางานทำ ซึ่งมีผู้ตกเป็นเหยื่อจำนวนมาก โดยจะต้องทำยอดให้ได้ตามเป้าแต่ละเดือน บางทีก็ถูกนำบัญชีธนาคารไปรับโอนเงินกลายเป็นบัญชีม้า จึงอยากเตือนคนที่กำลังจะตกเป็นเหยื่อว่า ไม่ควรหลงเชื่อคำโฆษณาว่า ทำงานง่ายได้เงินวันละพันกว่าบาท หรือหลายหมื่นบาท และสามารถไปทำได้โดยไม่ต้องมีหลักฐานยืนยัน หรือไม่ต้องเตรียมเอกสารในการข้ามแดน สิ่งเหล่านี้ไม่มีอยู่จริง และไม่ควรหลงเชื่อบรรดากลุ่มมิจฉาชีพ