บุญทรง-ภูมิ พร้อมพวก ยังช็อก หลังรับฟังคำตัดสินของศาลฏีกา คดีทุจริตจำนำข้าว เดินคอตกหน้าซีดเผือด ขึ้นรถขนผู้ต้องขังมุ่งหน้าสู่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ
เมื่อวันที่ 25 ส.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ใช้เวลาอ่านคำพิพากษานานกว่า 5 ชม. และมีคำตัดสินให้ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรมว.พาณิชย์ และนายภูมิ สาระผล อดีตรมช.พาณิชย์ มีความผิดคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าวและการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) โดยให้ นายบุญทรง มีโทษจำคุก 42 ปี และ นายภูมิ มีโทษจำคุก 36 ปี ขณะที่จำเลยคนอื่นๆในคดีถูกโทษลดหลั่นกันไป จากนั้นทั้งหมดได้ถูกควบคุมตัวขึ้นรถควบคุมผู้ต้องขังเพื่อมุ่งหน้าสู่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ โดยทุกคนมีสีหน้าซีดเผือด
สำหรับรายละเอียดคำพิพากษานั้น นายธนฤกษ์ นิติเศรณี รองประธานศาลฏีกาเจ้าของสำนวน คดีทุจริตฮั้วประมูลการระบายข้างแบบรัฐต่อรัฐ หรือ G to G พร้อมองค์คณะผู้พิพากษา 9 คน มีมติให้จำคุก นายภูมิ สาระผล อดีต รมช.พานิชย์ ในฐานะประธานอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าว จำเลยที่1 จำคุกรวม 4 กระทง เป็นเวลา 36 ปี ตามความพรบ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา12 ซึ่งเป็นบทหนักสุด กรณีเปิดโอกาสให้ 2 บริษัทในประเทศจีน ได้ทำสัญญารับซื้อข้าวในโครงการจำนำข้าว รวม4 สัญญา โดยอ้างหลักการทำสัญญาตาม G to G ระหว่างประเทศไทยกับประเทศจีน แต่ข้อเท็จจริง กับปรากฏว่าเป็นการทำสัญญาที่ให้เอกชน รับซื้อข้าวจากรัฐบาลไทยไปขายต่อกับประเทศที่3 ซึ่งผิดหลักเกณฑ์ และข้าวนั้นไม่ได้นำสู่ประเทศจีนตามที่กล่าวอ้าง
ส่วนนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พานิชย์ ในฐานะประธานอนุกรรมการระบายข้าว จำเลยที่ 2 ให้จำคุก 4 กระทง ในความผิดเดียวกันและความผิดตาม ประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 151 จึงรวมจำคุกทั้งสิ้น เป็นเวลาสูงสุดของกลุ่มรายการ เวลา 42 ปี
ด้านเสี่ยเปี๋ยง นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร จำเลยที่ 14 ให้จำคุก 4 กระทงในความผิดฐานสนับสนุนเจ้าหน้าที่กระทำความผิดฮั้วประมูล, ประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 151 พรบ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปราม พศ.2542 มาตรา 123/1 ให้คุกทั้งสิ้น 48 ปี
ขณะที่นางสาวธันยพร จันทร์สกุลพร จำเลยที่ 21 บุตรสาวเสี่ยเปี๋ยง ซึ่งเป็นกรรมการบริษัทกีธา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ศาลพิพากษาก็มีความผิดเช่นเดียวกัน ซึ่งศาลพิพากษาให้ร่วมกับบริษัทกีธาฯ จำเลยที่ 20 ชดใช้เงิน 1,294,109,764.80 บาท แต่เนื่องจากวันนี้
ให้คำคุกนางสาวธันยพร ไม่ได้เดินทางมาศาลฟังคำพิพากษาในวันนี้ศาลจึงมีคำสั่งให้ออกหมายจับและปรับนายประกันเต็มจำนวน เพื่อนำตัวมาฟังคำพิพากษาต่อไปในวันที่ 27 ก.ย. เวลา 09.00 น.
ทั้งนี้ในส่วนของเสี่ยเปี๋ยง และบริษัทสยามอินดิก้า จำกัด จำเลยที่10 และนายนิมล หรือโจ รักดี จำเลยที่ 15 ลูกน้องเสี่ยเปี๋ยง ศาลให้ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้กับกระทรวงการคลังเป็นเงิน 16,912,128,273.66 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตรา ร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันที่รับมอบข้าวตามสัญญาแต่ละฉบับ
โดยศาลมีคำพิพากษาให้ยกฟ้องนายสมยศ คุณจักร จำเลยทีา 19 ซึ่งมีความสัมพันธ์ทางเครือญาติเสี่ยเปี๋ยง และจำเลยที่ 22 -28 ซึ่งเป็นกลุ่มเอกชนโรงสีข้าวและกรรมการบริษัทรวม 7 ราย เนื่องจากพยานหลักฐานโจทก์ ยังฟังไม่ได้ว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง กับการกระทำตามฟ้อง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าภายหลังศาลมีคำพิพากษาจำคุกจำเลยแล้วทางทนายความได้เขียนคำร้องเพื่อยื่นประกันจำเลยระหว่างที่รอใช้สิทธิ์การยื่นอุธทรณ์คดี ตามรัฐธรรมนูญฯใหม่ ปี 2560 มาตรา 195
ซึ่งระหว่างรอพิจารณาผลประกันว่าศาลจะอนุญาตหรือไม่ ทางเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้ควบคุมตัวจำเลยขึ้นรถลูกกรงเรือนจำออกจากศาลฯเมื่อเวลา 15.30 เพื่อนำตัวไปควบคุมไว้ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ
นายชุติชัย สาขากร รองอัยการสูงสุดหัวหน้าชุดคณะทำงานคดีโครงการรับจำนำข้าวเเละโครงการระบายข้าวรัฐต่อรัฐกล่าวภายหลังศาลฎีกามีคำพิพากษาว่า ในเบื้องต้นที่จำเลยยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวมานั้นทางทีมอัยการจะยังไม่มีการคัดค้านการประกันตัว จะปล่อยเป็นดุลพินิจของศาลว่าจะพิจารณาให้ประกันตัวหรือไม่ ส่วนเรื่องการยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาในส่วนของจำเลยที่ศาลได้ยกฟ้องเเละในส่วนค่าเสียหายที่ศาลให้ลดจากคำขอเดิม คาดว่าทางอัยการน่าจะยื่นอุทธรณ์คดีต่อเเต่ต้องขอไปศึกษารายละเอียดคำพิพากษาฉบับเต็มเพื่อหาเเนวทางในการอุทธรณ์ เเละประชุมปรึกษาหารือกับทีมอัยการอีกครั้ง
ด้านทีมทนายความของเสี่ยเปี๋ยง กล่าวว่า ขณะนี้ได้ยื่นหลักทรัพย์ในการปล่อยชั่วคราวจำเลย โดยจะเพิ่มวงเงินเท่าตัวจากที่เคยได้ยื่นในชั้นพิจารณา ซึ่งจำเลยส่วนมากรวมนายบุญทรงเเบะนายภูมิก็ได้เพิ่มวงเงินอีก1เท่าตัวเช่นกัน