วันที่ 24 เดือน กันยายน พ.ศ.2567 พ.ต.อ.ปราโมทย์ จันทร์บุญแก้ว ผกก.สน.เพชรเกษม
ชุดจับกุมประกอบด้วย พ.ต.ต.ธวัชชัย ทิพย์วงษ์ สว.สส.สน.เพชรเกษม, จ.ส.ต.เอกยุทธ ปล้องคง ผบ.หมู่ (ป.) สน.เพชรเกษม, จ.ส.ต.ธวัชชัย ละอองชัย ผบ.หมู่ (สส.)ฯ,จ.ส.ต.สมภพ เที่ยงธรรม ผบ.หมู่ (ป.) ฯ, ส.ต.อ.ณัฐพงศ์ พรหมสุข ผบ.หมู่ (สส.)ฯ และ ส.ต.อ.ประทานพร เชษขุนทด ผบ.หมู่ (ป.) ฯ จับกุม
ผู้ต้องหา นางสาวจินตนา สุรชัยธนวัฒน์ อายุ 42 ปี ตามหมายจับศาลอาญาธนบุรีที่ 845/2567 ลงวันที่ 20 กันยายน 2567
อยู่บ้านเลขที่ 123 หมู่ที่ 5 ตำบลหนองไผ่ อำเภอหนองไผ่ จังหวัดเพชรบูรณ์
ในข้อหา “ร่วมกันกันฉ้อโกงโดยการแสดงตัวเป็นบุคคคลอื่นอันเป็นเท็จต่อประชาชนและร่วมกันเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์เท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน”
พฤติการณ์ในการจับกุม
พฤติการณ์ในการจับกุม ก่อนวันเวลาที่จับกุมเมื่อวันที่ 23 กันยายน พ.ศ.2567 เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้รับแจ้งจากสายลับไม่ประสงค์ออกนามแต่ประสงค์เงินรางวัลนำจับว่า นางสาวจินตนา สุรชัยธนวัฒน์ เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับ ศาลอาญาธนบุรีที่ 845/2567 ลงวันที่ 20 กันยายน 2567 ข้อหา “ร่วมกันกันฉ้อโกงโดยการแสดงตัวเป็นบุคคคลอื่นอันเป็นเท็จต่อประชาชนและร่วมกันเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์เท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน” หลบหนีอยู่บริเวณบริเวณพรทวีวัฒน์คอนโดทาวน์อาคาร B แขวงหนองค้างพลู เขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้เดินทางไปที่สถานที่ดังกล่าวเพื่อตรวจสอบ เมื่อไปถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจพบ นางสาวจินตนา สุรชัยธนวัฒน์ อยู่บริเวณหน้าห้องเลขที่ 315 ชั้น 10 พรทวีวัฒน์คอนโดทาวน์อาคาร B แขวงหนองค้างพลู เขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้แสดงหมายจับดังกล่าวต่อหน้า นางสาวจินตนา สุรชัยธนวัฒน์ สอบถามชื่อและนามสกุลจริงและขอตรวจสอบบัตรประจำตัวประชาชนกับ นางสาวจินตนา สุรชัยธนวัฒน์ ในขณะนั้น ปรากฎว่ามีชื่อนามสกุลและตำหนิรูปพรรณตรงตามหมายจับนี้ จนเป็นที่ทราบและส่งหมายจับให้ตรวจสอบอ่านเองจนเข้าใจดีแล้ว ได้ยอมรับว่าเป็นบุคคลเดียวกันกับบุคคลตามหมายจับดังกล่าวและไม่เคยถูกจับกุมตามหมายจับดังกล่าวมาก่อนแต่ อย่างใด เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้แจ้งต่อ นางสาวจินตนา สุรชัยธนวัฒน์ ว่าจะต้องถูกจับ ได้แจ้งข้อกล่าวหาและสิทธิ์ให้ทราบ ตามหมายจับศาลอาญาธนบุรีที่ 845/2567 ลงวันที่ 20 กันยายน 2567 ข้อหา “ร่วมกันกันฉ้อโกงโดยการแสดงตัวเป็นบุคคคลอื่นอันเป็นเท็จต่อประชาชนและร่วมกันเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์เท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน” นางสาวจินตนา สุรชัยธนวัฒน์ ทราบและเข้าใจดีแล้ว จึงได้นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.เพชรเกษม เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
พฤติการณ์ ก่อนเกิดเหตุ ก่อนเกิดประมาณเดือนตุลาคม ๒๕๖๖ ได้มีบุคคลไม่ทราบว่าเป็นผู้ใดใช้เฟซบุ๊กจำชื่อไม่ได้เข้ามาเป็นเพื่อนผู้เสียหายจึงได้กดรับเป็นเพื่อน และต่อมาได้มีการเปลี่ยนมาสนทนาทางไลน์ โดยใช้ชื่อไลน์ว่า DR.Soajun ได้มีการสนทนากันเรื่อยมาจนคนร้ายหลอกว่าจะใช้ชีวิตร่วมกันฉันสามีภรรยาโดยทำงานเป็นแพทย์ร่วมกับองค์การสหประชาชาติอยู่ที่ประเทศซูดานใต้ต้องการที่จะพักร้อนแต่ต้องมีการโอนเงินไปยังเจ้าหน้าที่องค์การสหประชาชาติเพื่อเป็นการประกัน จำนวน ๕๐เปอร์เซ็นต์ของเงินเดือน เนื่องจากที่ประเทศซูดานใต้อินเทอร์เน๊ตใช้การไม่ได้ ขอให้ผู้เสียหายโอนเงินโอนเงินไปให้ให้ก่อนจำนวน ๘๕,๐๐๐ ดอลล่าสหรัฐ ผู้เสียหายเงินไม่พอจึงขอเงินไปให้จำนวน ๘๐,๐๐๐ บาท คนร้ายตกลงโดยได้บอกให้โอนเงินเข้าบัญชีธนาคารกสิกรไทย บัญชีเลขที่ ๐๖๗-๑-๘๖๒๖-๖ ชื่อจินตนา สุรชัยธนวัฒน์ ที่คนร้ายอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่องค์การสหประชาชาติ วันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๖๖ เวลา ๑๗.๓๙ น. ได้โอนเงินจำนวน ๘๐,๐๐๐ บาท โดยเป็นการนำเงินสดไปฝากขังบัญชีธนาคารกสิกรไทยดังกล่าว ที่ธนาคารกสิกรไทยสาขาเพชรเกษม อเวนิว หลังจากนั้นก็ได้มีการสนทนากันเรื่อยมาคนร้ายได้บอกวาต้องโอนเงินไปเพิ่มจำนวน ๕๓,๐๐๐ บาท โดยให้โอนเงินเข้าบัญชีเดิม วันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๖ เวลา ๑๑.๔๑ น. ผู้เสียหายได้โอนเงินจำนวน ๕๓,๐๐๐ บาท โดยใช้เงินสดโอนเข้าบัญชีสิกรไทยดังกล่าว โอนที่ธนาคารกสิกรไทย สาขาบิ๊กซีเพชรเกษม ๒
หลังจากนั้นคนร้ายก็บอกว่ากำลังจะเดินทางกลับเมืองไทยต้องโอนเงินค่าเครื่องบินอีกจำนวน ๑๒๐,๐๐๐ บาท แต่ผู้เสียหายไม่โอนให้และต่อมาทราบว่าถูกหลอกจึงมาพบพนักงานสอบสวนเพื่อแจ้งความร้องทุกข์มอบคดีให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีกับคนร้ายในคดีนี้และบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องในความผิดฐานฉ้อโกง จนกว่าคดีจะถึงที่สุด และจากการตรวจสอบพบว่า ยังมีคดีอื่นอีก เนื่องจาก มีเงินเข้าบัญชีของผู้ต้องหา หลายครั้งรวม เกือบ 2 ล้าน บาท