สหประชาชาติ (ยูเอ็น) เตือนว่า กระแสชาตินิยม กระแสปกป้องทางการค้าและทัศนคติเรื่องประเทศมาก่อน เป็นอันตรายต่อเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (เอสดีจี) ของยูเอ็นที่สมาชิก 193 ประเทศเห็นพ้องให้เป็นโรดแมปแก้ปัญหาสำคัญของโลกให้ได้ภายในปี 2573
เครือข่ายวิธีการพัฒนาอย่างยั่งยืน (เอสดีเอสเอ็น) ร่วมกับแบร์เทลสมานน์ ชทิฟทุง มูลนิธิในเยอรมนีเผยแพร่รายงานในวันนี้ว่า การที่รัฐบาลหลายประเทศหันมาใช้นโยบายประเทศมาก่อนเป็นอันตรายต่อเอสดีจี เพราะกระแสชาตินิยมและกระแสปกป้องทางการค้านอกจากจะขัดขวางการบรรลุเอสดีจีแล้ว ประเทศอุตสาหกรรมยังไม่เป็นแบบอย่างที่ดี ประเทศร่ำรวยแล้วยังห่างไกลจากการบรรลุเป้าหมายนี้ การกระทำของแต่ละประเทศมีผลกระทบสำคัญไปถึงการวัดความก้าวหน้าของประเทศอื่น ดังนั้นกลุ่มประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ (จี 20) ที่จะเปิดการประชุมสุดยอดที่เยอรมนีในวันศุกร์นี้จะต้องเร่งทำให้การพัฒนาอย่างยั่งยืนเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงทั้งในและนอกกลุ่ม ขณะเดียวกันทุกประเทศจะต้องทำให้เอสดีจีเป็นส่วนหนึ่งในยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศและรับผิดชอบผลการกระทำของตนเองที่มีต่อประชาคมโลก
รายงานฉบับนี้จัดให้สวีเดน เดนมาร์ก ฟินแลนด์ นอร์เวย์ และสาธารณรัฐเช็กเป็น 5 อันดับสูงสุดใน 157 ประเทศที่พยายามบรรลุเอสดีจีซึ่งมีทั้งหมด 17 เป้าหมายหลัก และ 169 เป้าหมายย่อย เช่น หยุดยั้งการตัดไม้ทำลายป่า ยกมาตรฐานการครองชีพ ลดอัตราตายของเด็ก ส่งเสริมสันติภาพโลก ประเทศที่ติดอันดับต่ำสุดได้แก่ สาธารณรัฐแอฟริกากลาง ชาด และสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ขณะที่สหรัฐอยู่อันดับที่ 42 รัสเซียอันดับที่ 62 จีนอันดับที่ 71 ส่วนประเทศในอาเซียนนั้น มาเลเซียอันดับที่ 54 ไทยอันดับที่ 55 สิงคโปร์อันดับที่ 61 เวียดนามอันดับที่ 68 ฟิลิปปินส์อันดับที่ 93 อินโดนีเซียอันดับที่ 100 สปป.ลาวอันดับที่ 107 เมียนมาร์อันดับที่ 110 กัมพูชาอันดับที่ 114 ส่วนบรูไนไม่รวมอยู่ในการจัดอันดับเนื่องจากข้อมูลไม่เพียงพอ