วันที่ 11 มิถุนายน 2560 ที่วัดวังไทร ต.กำโลน อ.ลานสกา จ.นครศรีธรรมราช ได้มีการประกอบพิธีฌาปนกิจศพสามเณรปลื้ม โดยมีการตั้งเมรุลอยกลางลานวัดขึ้นมาฌาปนกิจศพเป็นการเฉพาะ ซึ่งมีพระราชปริยัติเวที เจ้าคณะจังหวัดนครศรีธรรมราช (มหานิกาย) เป็นประธานสงฆ์ โดยมีประชาชนทั้งในพื้นที่ อ.ลานสกา และต่างอำเภอในจังหวัดนครศรีธรรมราช รวมทั้งมีประชาชนบางส่วนที่เดินทางมาจากต่างจังหวัด เพื่อมาร่วมในพิธีด้วย ท่ามกลางบรรยากาศที่เป็นไปตามความโศกเศร้า ทั้งนี้การฌาปนกิจศพสามเณรปลื้มจริง ๆ จะมีขึ้นในเวลา 19 .00 น.ของวันเดียวกัน
ทั้งนี้ก่อนที่จะมีการำพิธีฌาปนกิจศพหลอก พระราชปริยัติเวที เจ้าคณะจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้เทศนาโดยตอนหนึ่งได้กล่าวถึง สามเณรปลื้มว่า เป็นการมรณภาพที่มีคุณค่าอย่างมาก ในวงการภิกษุ-สามเณร เป็นการตายที่มีคุณค่า มีสาระ สมควรยกย่อง เพราะทำให้มีการตรวจสอบความไม่โปร่งใสในวัดวังตะวันตกแลพวัดทั่วประเทศอย่างจริงจัง แม้กระทั่งหน่วยงานรัฐจะต้องเข้ามาช่วยเหลือดูแลการบริหารวัดอย่างต่อเนื่อง
ส่วนความคืบหน้าการคลี่คลายคดีฆาตกรรมสามเณรปลื้ม ยังต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าในทางคดีคดีฆาตกรรมจะมีความคืบหน้าไปมาก จนสามารถจับกุมผู้ร่วมกันก่อเหตุ และร่วมกันฝังสามเณร โดยเฉพาะ น.ส.ปิยฉัตร อรุณสกุล และนายเด่นชัย ภูมินิยม ซึ่งเป็น 2 ผู้ต้องหาแรกที่มีอำนาจจัดการภายในวัดทั้งหมด รวมทั้งผู้ร่วมก่อเหตุอีก 2 ราย ที่เป็นสามเณร แต่ทางคดียังต้องจับตาในการติดตามเงินจำนวนมากที่อยู่ในบัญชีของวัด โดยผู้เกี่ยวข้องยืนยันว่า ก่อนที่ น.ส.ปิยฉัตร จะเข้ามามีอำนาจเหนือเจ้าอาวาส มีเงินสะสมอยู่ในบัญชีรวมกว่า 40 ล้านบาท
พล.ต.ต.วันไชย เอกพรพิชญ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรนครศรีธรรมราช กล่าวว่า จากการตรวจสอบทางคดีเราได้ ค้นพบหลักฐานเพิ่มเติม คือ ใบเสร็จสั่งซื้อวัสดุอุปกรณ์ที่นำมาใช้ในการปิดบังซ่อนเร้นอำพราง ซึ่งมีทั้งใบชาในการปกปิดกลิ่น น้ำมันก๊าด ปูนซีเมนต์ และอื่นๆ สามารถยึดได้มาทั้งหมดรวมทั้งวัตถุพยาน ส่วนบัญชีเงินฝากของวัดนั้นพบเพิ่มเติมจากเดิม 26 บัญชี เพิ่มมาอีก 6 บัญชี โดยรวมแล้วมีเงินเหลือไม่ถึง 2 ล้านบาท ขณะที่ตู้เซฟของผู้ต้องหาในขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดได้ เนื่องจาก น.ส.ปิยฉัตร อ้างว่า จำรหัสเซฟไม่ได้ ตำรวจจึงได้ประสานกับบริษัทผู้ผลิตเพื่อให้ส่งช่างผู้เชี่ยวชาญมาเปิดในเร็วๆ นี้
“ในส่วนของการแจ้งความดำเนินคดีในข้อหายักยอกทรัพย์ ทางเจ้าอาวาสรูปใหม่ ยังไม่ได้ดำเนินการ ท่านบอกแต่เพียงว่าขอเวลา เพื่อขอรวบรวมเอกสารหลักฐานทางบัญชีต่างๆ ให้เรียบร้อยก่อน และหากเจ้าอาวาสเข้าแจ้งความแล้ว ทางตำรวจจะต้องดำเนินคดีทุกฐานความผิดที่เกี่ยวข้องต่อผู้ต้องหา ขณะนี้ทำได้เพียงสืบสอบสวนเส้นทางการเงินการผ่องถ่ายบัญชีออกจากวัด ส่วนบัญชีของผู้ต้องหามีวงเงินคงเหลือราว 4 แสนบาท”