เมื่อเวลา 08.00 น. วันที่ 13 พ.ค.2567 พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท., พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม. สั่งการให้ พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ รองผบช.สอท., พล.ต.ต.ภูมิพัฒน์ ภัทรศรีวงษ์ชัย ผบก.สอท.5,
พล.ต.ต.สมชาย ซื่อต่อตระกูล ผบก.ภ.จว.นครศรีธรรมราช, พ.ต.อ.ภาณุภาคยณ์ จิตต์ประยูรตี รองผบก.ตม.6 และ นายปราโมทย์ รัตรประทีป อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานอัยการจังหวัดทุ่งสง นำกำลังปิดล้อมตรวจค้น 7 จุด อ.ฉวาง และ อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช ตามยุทธการ Takedown Scammer Ep:2 จับกุมเครือข่ายขบวนการคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติ
โดยจุดที่น่าสนใจ คือ การเข้าตรวจค้นบ้านพักภายในหมู่บ้านแหง่หนึ่ง ต.จันดี อ.ฉวาง ซึ่งเป็นบ้านของ น.ส.เรวดี (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 51 ปี หรือ เจ๊เล็ก รองนายกเทศมนตรี และ นายหลิน (ขอสงวนนามสกุล) หรือ โกหยาง อายุ 62 ปี ซึ่งเป็นสามีของนางเรวดี และเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดทุ่งสงที่ 158 /2567 ลงวันที่ 8 พ.ค 67 ฐานความผิด ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น, ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชนร่วมกันเป็นอั้งยี่, ร่วมกันเป็นซ่องโจรและร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ
จากการตรวจสอบไม่พบตัว น.ส.เรวดี และสามี พบเพียงผู้ดูแลเท่านั้น โดยบ้านดังกล่าวมีลักษณะเป็นบ้านเดี่ยว 2 ชั้น ภายในมีการแบ่งเป็นโซนที่พักและห้องทำงาน อีกโซนเป็นที่เก็บสินค้าจำพวกถุงพลาสติก สินค้าเบ็ดเตล็ด กระดาษทิชชู เป็นต้น เจ้าหน้าที่ตรวจยึดเอกสารหลักฐานบริษัทในเครือข่าย โฉนดที่ดิน สมุดบัญชีธนาคาร รวมไปถึงสเตทเมนท์บัญชีธนาคารต่าง ๆ ไว้ตรวจสอบ
กำลังอีกส่วนเข้าตรวจสอบบ้านอีกหลังในหมู่บ้านเดียวกัน ซึ่งเป็นบ้านของ น.ส.อาทิตยา (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 23 ปี ลูกสาวของนางเรวดี เบื้องต้นไม่พบตัวน.ส.อาทิตยา พบเพียง นายหยาง ชาวจีน ซึ่งเป็นพ่อสามีของน.ส.อาทิตยาอาศัยอยู่ที่บ้านดังกล่าว
ทั้งนี้ เจ้าที่ได้ตรวจยึดเอกสารหลักฐาน, สมุดบัญชีธนาคาร ไว้ทำการตรวจสอบ และอีกจุดได้เข้าตรวจค้นโรงแรมแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ในตัว ต.ฉวาง ก่อนจับกุม นายอาย่ะ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 37 ปี ตามหมายจับศาลจังหวัดทุ่งสง ที่ 161 /2567 ลงวันที่ 8 พ.ค. ในความผิดเดียวกัน พร้อมตรวจยึดโทรศัพท์ตั้งโต๊ะ, อุปกรณ์เราเตอร์ เป็นต้น
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ได้จับกุมผู้ต้องหาในเครือข่าย โดยจับกุม น.ส.ธัญพร (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 44 ปี และ น.ส.ลักษิกา (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 51 ปี ได้ที่อ.ฉวาง, น.ส.ณัฏฐกันย์ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 23 ปี จับได้ที่ จ.สุราษฎร์ธานี ตามหมายจับศาลจังหวัดทุ่งสงที่ 157, 159, 160/2567 ลงวันที่ 8 พ.ค. ในความผิดเดียวกัน
ก่อนนำตัวทั้งหมดไปสอบสวนที่ สภ.ทุ่งสง ในส่วนของ น.ส.เรวดี สามี และลูกสาว และ น.ส.น.ส.ดุษดี (ขอสงวนนามสกุล) อยู่ระหว่างหลบหนี
สืบเนื่องจากวันที่ 29 มี.ค.2567 บช.สอท. สนธิกำลังเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ตำรวจสืบสวน ภ.8 ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง เจ้าหน้าที่ กสทช. กว่า 100 นาย เข้าปูพรมตรวจค้นเป้าหมาย 4 จุด ในพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช ในการทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวจีนรายใหญ่ ที่ลักลอบตั้งฐานแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกคนไทย, ชาวจีน, ชาวรัสเซีย และชาวญี่ปุ่น
โดยครั้งนั้นจับกุมขบวนการชาวจีน และผู้ร่วมขบวนการทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ รวม 90 คน พร้อมยึดของกลางอีกรายหลายการ เช่น คอมพิวเตอร์ 192 เครื่อง, มือถือและซิมผี 854 เครื่อง, Router กระจายสัญญาณ 22 เครื่อง และบัญชีม้า 342 เล่ม
จากการขยายผลพบความเชื่อมโยงว่าขบวนการดังกล่าวมี น.ส.เรวดี ซึ่งเป็นเจ้าของสถานที่ที่กลุ่มคอลเซ็นเตอร์ชาวจีนมาใช้ปฏิบัติการ และได้ผลประโยชน์จากการเช่าอาศัย อีกทั้งสามีคือนายหลินมีการโอนเงินซื้อคอมพิวเตอร์, โทรศัพท์ให้กับกลุ่มคอลเซ็นเตอร์ชาวจีน และทำหน้าที่จ่ายเงินให้ลูกจ้างชาวไทย
และ น.ส.อาทิตยา ลูกสาวนางเรวดี เป็นนอมินีปรากฏชื่อในบริษัทที่กลุ่มคอลเซ็นเตอร์ชาวจีนใช้บังหน้า จึงรวบรวมพยานหลักฐานออกหมายจับ 7 ราย ประกอบไปด้วยกลุ่มผู้ได้รับผลประโยชน์ 2 หมายจับ คือ นายหลิน, น.ส.อาทิตยา ส่วนน.ส.เรวดี ศาลให้ออกหมายเรียกมารับทราบข้อหา
และกลุ่มผู้ร่วมขบวนการสนับสนุนทำหน้าที่ นอมินี ซื้ออุปกรณ์ในการกระทำผิด และบัญชีม้า 5 หมายจับ คือ น.ส.ดุษดี, น.ส.ธัญพร อายุ 44 ปี, น.ส.ลักษิกา อายุ 51 ปี, นายอาย่ะ อายุ 37 ปี และ น.ส.ณัฏฐกันย์ อายุ 23 ปี
อย่างไรก็ตาม พนักงานสอบสวนได้ทำเรื่องเสนอออกหมายจับน.ส.เรวดี เนื่องจากมีพฤติกรรมหลบหนีไม่ยอมมาตามหมายเรียก ซึ่งอยู่ระหว่างขั้นตอนการพิจารณาของศาล เช่นเดียวกับผู้ต้องหาที่หลบหนีได้ประสานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ตลอดจนหน่วยงานความมั่นคงเฝ้าติดตาม และคุมเข้มสกัดจับตามแนวชายแดนและช่องทางธรรมชาติเพื่อนำตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป