เมื่อวันที่ 6 เม.ย. เอพีรายงานโศกนาฏกรรมชีวิตชาวซีเรียที่สูญเสียลูกน้อยฝาแฝดทั้งสองคนและสมาชิกในครอบครัวอีกรวม 22 คนจากเหตุการณ์เมืองข่าน ชีกฮุน ถูกโจมตีด้วยอาวุธเคมี
ภาพที่นายอับเดล ฮามีด อัลยูเซฟ อุ้มร่างไร้วิญญาณของลูกน้อยฝาแฝด ชื่อ อายา และอาเหม็ด อายุ 9 เดือน เพื่อจะไปฝังรวมกับสมาชิกครอบครัว ระหว่างทางไปนั้นชายหนุ่มร้องไห้จนตัวโยน พูดพึมพัมว่า “พูดว่า…ลาก่อนสิ หนูน้อย พูดว่าลาก่อนนะ” สร้างความสะเทือนใจให้ผู้พบเห็น
นายอัลยูเซฟไม่เพียงเสียลูกและภรรยาเท่านั้น ยังเสียสมาชิกในครอบครัวเครือญาติไปถึง 22 ราย เป็นตระกูลที่สูญเสียมากที่สุดจากจำนวนผู้เสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 80 ราย ในจำนวนนี้เป็นเด็กถึง 30 ราย และผู้หญิง 20 ราย
“ครอบครัวของพวกเราถูกทำลาย และยังมีอีกหลายคนหายตัวไป พวกเรากลัวที่จะเข้าไปตามบ้านแล้วจะต้องพบคนตายเพิ่มขึ้น ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ต้องนำไปฝังรวมกันที่สุสานของคนในตระกูล” ญาติคนหนึ่งกล่าว
ด้านนางอายา ฟาดิล ครูสอนภาษาอังกฤษ ที่อุ้มลูกชายวัย 20 เดือน วิ่งหาที่หลบภัยการโจมตีจากอาวุธเคมี ต้องช็อกกับภาพรถบรรทุกศพกองพะเนินวิ่งเข้ามาตรงหน้า เมื่อเพ่งมองก็เห็นทั้งญาติและลูกศิษย์อีกหลายคนมีสภาพไร้ลมหายใจแล้ว
ชะตากรรมของนางฟาดิลไม่ต่างกับเหยื่อคนอื่นๆ แต่โชคดีที่นางฟาดิลกับลูกได้รับการช่วยเหลือทันท่วงทีจากหน่วยแพทย์ที่พบตัวเธอหลังจากหมดสติไป
นางฟาดิลพูดขณะสะอื้นทั้งน้ำตาและกล่าวอำลาครั้งสุดท้ายกับศพญาติที่แทรกอยู่ในกองศพหลังรถปิกอัพด้วยอาการใจสลาย โดยกล่าวว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเลวร้ายไปหมด รวมไปถึงทุกๆ คนที่ร้องไห้จนหายใจไม่ออก หลังจากเผชิญสถานการณ์อันยากลำบากมาโดยตลอด
เหตุดังกล่าว ทำให้สหรัฐและประเทศตะวันตกหลายประเทศกล่าวหานายบาชาร์ อัล อัสซาด ประธานาธิบดีซีเรียว่าอยู่เบื้องหลังการโจมตี แต่รัฐบาลรัสเซียออกโรงป้องว่าไม่ใช่ฝีมือรัฐบาลซีเรีย ซึ่งได้ทำลายคลังอาวุธเคมีไปเรียบร้อยแล้ว หากเป็นการถล่มทางอากาศที่ไปถูกคลังแสงที่สะสมอาวุธเคมีของกลุ่มกบฏ
เหตุการณ์การใช้อาวุธเคมีโจมตีในซีเรีย เคยเกิดขึ้นและคร่าชีวิตผู้คนล้มตายกว่า 100 คนด้วยแก๊สซาริน ที่เมืองกูต้า ฐานที่มั่นของกลุ่มกบฏในปี 2557 เหตุการณ์ครั้งนั้นได้สร้างเสียงประณามจากนานาชาติ และรัฐบาลซีเรียแจ้งว่าได้ทำลายอาวุธเคมีของตนไปแล้ว กระทั่งมาเกิดเหตุการณ์นี้อีก