เมื่อเวลา 12.20 น. วันนี้ (3 เม.ย.) “คุณบอย ถกลเกียรติ วีรวรรณ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สถานีโทรทัศน์ช่องวัน ได้จัดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ณ สตูดิโอ GMM Grammy ชั้น 2 ถึงกรณีตนเองและลูกสาวถูกโชเฟอร์แท็กซี่รายหนึ่งแสดงอาการไม่พอใจ พร้อมยอมรับตนใช้เท้าเตะไปที่บริเวณตัวรถเหตุเพราะต้องการเรียกรถให้หยุดเพื่อไปส่งตนและลูกสาวที่บ้าน เอ่ยขอโทษยอมรับบันดาลโทสะด้วย
โดย บอย ถกลเกียรติ เล่าถึงเหตุการณ์ทั้งหมดว่า
“วันเสาร์ตอนค่ำๆ (1 เม.ย) บริเวณสุขุมวิท 33 ซึ่งจะมีงานเลี้ยงที่บ้านของผม แต่ผมกับลูกสาวคนโตไปดูหนังกันก่อน พอเวลาตอนกลับผมบอกกับลูกว่า ตอนแรกผมคิดว่าจะเรียก “อูเบอร์” ก็ได้ แต่ลูกสาวบอกว่า อูเบอร์ผิดกฎหมายนะพ่อ ผมเลยคิดว่าไม่เป็นไร และผมก็เรียกแท็กซี่ แต่มาเจอเคสว่าแท็กซี่ไม่ไป ตอนนั้นมีคันหนึ่งผ่านมา เขาถามว่าผมจะไปไหน สรุปเขาบอกว่าไม่ไป อันนั้น 1 คันแล้ว ก่อนหน้าที่จะเจอคันคู่กรณี ทุกวันนี้มันมีปัญหาอยู่ ถ้าคุณรักจะทำอาชีพนี้ ทำไมคุณถึงยังตอกย้ำความไม่ดี”
“พออีกคันหนึ่งผ่านมา ผมก็เรียก นั่นคือคันที่เป็นคู่กรณี เขาก็ขับผ่านไปเลย ซึ่งผมยอมรับว่าตอนนั้นอาจจะมีอารมณ์ ผมบันดาลโทสะ ผมยอมรับว่าผมผิด ผมพยายามจะเรียกเขา คือถ้าเป็นคนเราคงเดินไปสะกิด แต่นี่เป็นรถ คือผมใช้เท้าเพื่อที่จะสะกิดเรียก ซึ่งคนขับแท็กซี่ก็ไม่รู้ว่าผมใช้เท้า แต่แรงหรือไม่แรงหรือผมไม่รู้ แต่เหมือนผมไปเตะรถเขา ไม่ได้ทุบ จากนั้นผมเปิดประตูเพื่อจะเข้าไปนั่ง แต่แท็กซี่คันนั้นเขาเปิดประตูออกมาด้วยสภาพโกรธมาก ถามว่าทุบรถผมทำไม ผมเลยบอกว่า แล้วทำไมคุณไม่จอด “ไฟติดว่าว่าง” เขาบอกว่าเขาอาจจะไปรับผู้โดยสารคนอื่น แต่ไฟคุณเปิดว่าว่าง และเขาบอกว่า “มายิงกันสักนัดไหม” ซึ่งลูกสาวผมอยู่ตรงนั้น ลูกสาวผมบอกว่า “พ่อไปเถอะ” ผมยอมรับว่ามีส่วนผิดที่ผมไปทำร้ายรถเขา รถใครๆ ก็รัก ผมเข้าใจ”
“พอเขาบอกว่า มายิงกันสักนัดไหม ผมเลยบอกว่าผมขอโทษก็แล้วกัน เขาเลยบอกว่า “ไหว้สิ” ผมก็ยกมือไหว้ แต่ในคลิปอาจจะไม่เห็น ตอนนั้นหน้าลูก หน้าภรรยา หน้าครอบครัวของผมลอยขึ้นมาเต็มไปหมด ผมมาคิดว่าผมก็ต้องโทษตัวเองเหมือนกัน ผมเลยบอกเขาว่า จะให้ผมชดใช้เท่าไหร่ เขาเลยบอกว่า 1,000 บาท ซึ่งต้องบอกว่าเขาไม่ได้เรียกร้องเงินจากผมก่อน ผมเป็นคนเสนอไปเอง ผมเลยให้ไป 1,000 บาท”
“ถามว่าผมติดใจอะไรไหม ผมเข้าใจได้ ถ้าขับรถมาแล้วมีคนมา ทุบตึง! ที่รถ คงต้องโกรธ แต่เราต้องแยกคนละประเด็น เพราะไฟรถติดว่าว่าง แต่คุณไม่รับมีแบบนี้หลายๆ คัน สำหรับเรื่องของผม ไม่ใช่กรณีแรกที่เป็นแบบนี้ แต่ผมต้องยอมรับว่าการที่ผมไปทำลายทรัพย์สินเขา ผมต้องทำการชดใช้ จริงๆ เรื่องนี้มันน่าจะจบแล้ว เพียงแต่มี 1 ประเด็น คือการที่เขาพูดว่ามา “ยิงกันสักนัดไหม”
ผมคิดว่ามันน่าจะเกินกว่าเหตุ และมีเด็กอยู่ตรงนั้นด้วย ประเด็นใหญ่ที่กว่าคือไม่ใช่เรื่องของผมกับแท็กซี่ แต่เรื่องใหญ่จริงๆ คือทั้งผมและคนขับแท็กซี่ เป็นเหยี่อของระบบ เรามีทางเลือกว่าเราใช้บริการอะไรก็ได้ แต่กฎหมายกำลังจำกัดทางเลือกของประชาชน”
“ผมเป็นคนที่ใช้บริการทั้งแท็กซี่ และมอเตอร์ไซค์ แต่วันนั้นผมขึ้นมอเตอร์ไซค์ไม่ได้ เพราะผมมีลูกมาด้วย ผมคิดว่าจริงๆ แล้วผมอยากจะตั้งคำถามว่า ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ มันเป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้ ซึ่งจริงๆ แล้วตัวเลือกเรามี แต่กฎหมายจำกัดตัวเลือกเรา ไม่อย่างนั้นผมเรียกอย่างอื่นแล้ว ถ้าลูกผมไม่ทัก แต่มันไม่ถูกกฎหมาย”
“หลังจากจากนี้ จริงๆ ผมไม่อยากจะเอาเรื่อง และผมอยากขอโทษคนขับแท็กซี่คนนั้นด้วย ในเรื่องของการที่ผมบันดาลโทสะ ผมขอโทษ แต่ต้องเข้าใจว่าจริงๆ เขาเปิดไฟว่างอยู่ ผมไม่อยากจะเอาผิดอะไรใคร แต่ถามว่าผมจะเอาความอะไรในเชิงกฎหมายมั้ย ถ้าจะทำให้ถูกต้อง ผมต้องลงบันทึกประจำวัน แต่ผมไม่อยากเอาผิดอะไร เพราะมันเป็นเรื่องของการมีความผิดด้วยกันทั้งคู่ ผมอาจจะแค่ไปลงบันทึกประจำวันเอาไว้ว่าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ แต่ไม่ได้แจ้งความ”
ทั้งนี้ระหว่างการให้สัมภาษณ์ของ คุณบอย ถกลเกียรติ ทางรายการได้ทำการเปิดเทปสัมภาษณ์โชเฟอร์แท็กซี่คันดังกล่าวหลังเข้าให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งมีการระบุว่า “ผมบอกคุณไปแล้วว่าผมจอดไม่ได้ ผมไม่รู้หรอกว่า 2 คันก่อนหน้านั้นที่คุณเรียกมีอะไรบ้าง แต่เรารักทรัพย์สินของเรา ถ้ามีใครมาทำลายทรัพย์สินเราต้องปกป้อง และเงิน 1,000 บาท คุณบอยเสนอขึ้นมาเอง ผมไม่ได้เรียกร้อง ส่วนกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในตอนนี้มันขึ้นอยู่กับบุคคลคนที่ 3 ที่เป็นคนโพสต์ และรายละเอียดที่ออกมาเป็นความผิด ที่ผิดเพี้ยน ถ้าอยากรู้ความจริง ต้องเอาผมกับคุณบอยมานั่งคุยกันทั้งคู่”
ด้านบอย ถกลเกียรติ ได้กล่าวต่ออีกว่า “ผมคิดว่าเราพูดตรงกัน ผมเห็นใจ และสิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นเรื่องของระบบ ผมโกรธที่เขาไม่ยอมไป ซึ่งพอเปิดประตู ผมอยากจะไปใช้บริการ ถามว่าลูกร้องไห้ไหม ตอนนั้นลูกบอกผมว่า พ่อไปเถอะๆ อยู่ตรงนั้นผมสงสารลูกจริงๆ แล้วถ้าใครรู้จักผมดี ผมเป็นคนที่หลักการมาก่อน ถ้าคุณทำอาชีพนี้ ในเมื่อ “ไฟว่าง” เปิดอยู่คุณต้องรับ อย่างที่บอกถ้าด้วยความถูกต้อง ผมคงต้องลงบันทึกประจำวัน แต่จริงๆ ไม่ได้อยากให้เป็นเรื่องราวต่อไปเลย จริงๆ ถ้าไม่มีเรื่องลงราวในโลกออนไลน์ออกมามันก็จบแล้ว”
“สำหรับเรื่องคำพูดเกี่ยวกับปืน คือ ณ เวลานั้นนะครับ คุณก็ต้องดูว่าบางทีแล้วภาษาไทยเวลาเราพูดมันไม่มีประธานไม่มีกรรม และการที่บอกว่ามายิงกันสักนัดไหมเนี่ย เราไม่รู้ว่าอะไรคือประธานและอะไรคือกรรม”
“ผมต้องขอโทษที่ไปทำลายทรัพย์สินตรงนั้น มันเป็นบทเรียนด้วยกันทั้งหมด สิ่งที่ผมเห็นว่าเป็นประเด็นใหญ่คือ บทเรียนของระบบที่ในเมื่อเรามีตัวเลือกเยอะแยะ ทำไมต้องจำกัดตัวเลือกเรา พูดตรงๆ นะ ผมเจอแท็กซี่ไม่รับไปน้อยมาก แต่เราอ่านมาและเจอคนที่โดนแบบนี้เยอะมาก ในเมื่อมันเป็นสิ่งที่คนจับตามอง คุณกำลังทำให้อาชีพที่คุณทำ หมดความเชื่อถือ แต่ไม่ถึงขนาดที่ทำให้ผมไม่ขึ้นแท็กซี่ ถามว่าผมจะกลายเป็นกระบอกเสียงทำให้การขับ “อูเบอร์” ถูกกฎหมายหรือไม่ คือผมไม่ได้มีหน้าที่ทำตรงนั้น ผมเป็น 1 เสียง ที่อยากฝากไปถึง ผู้ที่รับผิดชอบ ให้กฎหมายมีการเปลี่ยนแปลง”