รอยเตอร์ส สื่อชื่อดัง รายงานว่า ศาลสหรัฐฯ ตั้งข้อหานักการทูตหญิงชาวอเมริกัน หลังถูกกล่าวหาว่ารับเงินสินบนหลายหมื่นดอลลาร์ พร้อมของอื่นๆจาก “สายลับจีน” เพื่อแลกกับการเปิดเผยข้อมูล เศรษฐกิจและการทูต ให้จีนรับรู้
แคนเดซ แคลบอร์น วัย 60 ปี ถูกศาลในกรุง วอชิงตัน ดี.ซี.ตั้งข้อหาขัดขวางกระบวนการยุติธรรม และแจ้งความเท็จต่อสำนักงานสอบสวนกลาง (เอฟบีไอ) โดย แคลบอร์น เดินทางเข้าให้การต่อผู้พิพากษาศาลแขวง พร้อมกับ เดวิด บอส ทนายของเธอ แต่ยังปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน โดยเธอจะถูกกักบริเวณในบ้านพัก จนกว่าจะถึงกำหนดไต่สวดนัดแรก ในวันที่ 18 เม.ย.
เอกสารคำฟ้องระบุว่า สายลับจีนได้โอนเงินหลายหมื่นดอลลาร์เข้าบัญชีของ แคลบอร์น ตั้งแต่ปี 2011 เพื่อตอบแทนที่เธอให้ข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจที่สหรัฐฯ มีต่อจีน และข้อมูลด้านการทูตอื่นๆ อัยการชี้ว่า นักการทูตหญิงและผู้สมคบคิดอีกคนหนึ่ง ยังได้รับของกำนัลอื่นๆ อีก เช่น ลูกปัด, จักรเย็บผ้า, รองเท้า, ค่าเล่าเรียนที่สถาบันแฟชันแห่งหนึ่งในจีน รวมถึงทริปเที่ยวเมืองไทยฟรี
มาร์ก โทเนอร์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ยืนยันว่า “เมื่อใดก็ตามที่พนักงานของรัฐต้องสงสัยว่ามีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม หรือก่ออาชญากรรมต่อรัฐที่เป็นการบ่อนทำลายความเชื่อมั่นของสาธารณชน เราจะตรวจสอบข้อกล่าวหาเหล่านี้อย่างจริงจัง”
ทั้งนี้ การตั้งข้อหากับ แคลบอร์น มีขึ้นเพียงไม่กี่วัน ก่อนที่ประธานาธิบดี สี่ จิ้นผิง ของจีน จะเดินทางเยือนวอชิงตัน เพื่อพบกับประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ระหว่างวันที่ 6-7 เม.ย.นี้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ความสัมพันธ์ระหว่างสองมหาอำนาจกำลังเปราะบางจากปัญหาเกาหลีเหนือ ทะเลจีนใต้ ไต้หวัน และข้อพิพาทการค้า หลังเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ กล่าวหาจีนว่า อยู่เบื้องหลังการโจมตีเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของหน่วยงานภาครัฐและเอกชนของอเมริกาในช่วงไม่กี่ปีมานี้
ด้าน แมรี แม็คคอร์ด ผู้ช่วยรัฐมนตรียุติธรรมสหรัฐฯ แถลงว่า แคลบอร์น “ไม่ได้รายงานเรื่องที่เธอติดต่อกับสายลับต่างชาติของจีน ซึ่งได้มอบเงินสดหลายหมื่นดอลลาร์ ของกำนัล และผลประโยชน์อื่นๆ ให้แก่เธอ”
แคลบอร์น เริ่มทำงานกับกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ในปี 1999 และเคยถูกส่งไปประจำการตามสถานทูตและสถานกงสุลสหรัฐฯ ในหลายประเทศ เช่น อิรัก ซูดาน และจีน อย่างไรก็ตาม หากศาลวินิจฉัยว่า กระทำผิดจริง เธออาจถูกจำคุกสูงสุด 20 ปีสำหรับความผิดฐานขัดขวางกระบวนการยุติธรรม และอีก 5 ปีฐานแจ้งความเท็จต่อเอฟบีไอ