ธนาคารกลางสหรัฐฯ ลงมติให้มีการปรับดอกเบี้ยนโยบายขึ้นมาอีกร้อยละ 0.25 นับเป็นการปรับดอกเบี้ยครั้งที่สอง ตั้งแต่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
คณะกรรมการกำกับนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด ลงมติ 9 ต่อ 1 เสียง ให้มีการปรับดอกเบี้ยนโยบายขึ้นมาอีกร้อยละ 0.25 ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายขณะนี้อยู่ที่ระดับร้อยละ 0.75 ถึง 1 นับเป็นการปรับดอกเบี้ยครั้งที่สองในรอบ 3 เดือน ตั้งแต่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และเป็นการปรับดอกเบี้ยครั้งที่สาม ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา
นางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟด บอกว่าการขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้เป็นผลมาจากภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯที่แข็งแกร่งขึ้น และอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯก็ขึ้นมาใกล้ถึงระดับร้อยละ 0.2 ที่ตั้งเป้าไว้แล้ว ส่วนอัตราคนว่างงานก็ลดต่ำลง
นางเยลเลน บอกว่าในที่ประชุมยังไม่มีการหารือกันว่านโยบายต่างๆของนายโดนัลด์ ทรัมป์ เช่นการลดภาษี และการลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐาน จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯอย่างไรบ้าง และไม่ได้ให้ความเห็นว่าเฟดจะปรับอัตราดอกเบี้ยครั้งต่อไปเร็วแค่ไหน แต่ก่อนหน้านี้ เฟดได้ประกาศไว้แล้วว่าอาจจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยทั้งหมด 3 ครั้งในปีนี้
ตลาดหุ้นสหรัฐฯพุ่งขึ้นหลังเฟดขึ้นดอกเบี้ย
ตลาดหุ้นสหรัฐฯพุ่งสูงขึ้นรับการขึ้นดอกเบี้ย เนื่องจากคาดว่าเงินทุนจะไหลเข้าประเทศจำนวนมาก
ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯดีดตัวขึ้น หลังเฟดประกาศอัตราดอกเบี้ย โดยดัชนีหุ้นอุตสาหกรรมดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 112.73 จุด ส่วนดัชนีหุ้นการเงินเอสแอนด์พี 500 เพิ่มขึ้น 19.81 จุดด้านค่าเงินดอลลาร์ต่อยูโรลดลงร้อยละ 0.9 ส่วนเงินดอลลาร์ต่อเงินปอนด์ลดลงด้วยกว่าร้อยละ 1
เฟดทำนายอัตราเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ ว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 2.1 ในปีนี้และปีหน้า ก่อนจะลดลงเหลือร้อยละ 1.9 ในปี 2019 ซึ่งตัวเลขนี้น้อยกว่าที่นายทรัมป์เคยพูดไว้ ว่านโยบายเศรษฐกิจของเขาจะทำให้สหรัฐฯมีอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจถึงร้อยละ 4
นักวิเคราะห์มองว่าเฟดจะประกาศขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งไม่เกินเดือนมิถุนายนนี้ เนื่องจากต้องการเวลาประเมินภาพรวมทางเศรษฐกิจ จากนโยบายด้านต่างๆของนายทรัมป์ เช่น การลดภาษี การผ่อนคลายกฎเกณฑ์ในการทำธุรกิจต่างๆ และการส่งเสริมการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานในประเทศ
ธปท.เอาอยู่ ยืนยันเฟดขึ้นดอกเบี้ยไม่กระทบไทย
นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่าการที่เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย จะไม่กระทบต่อตลาดเงินไทยมาก เพราะเป็นไปตามกลไก และตลาดรับรู้เรื่องการปรับขึ้นดอกเบี้ยก่อนหน้านี้แล้ว ส่วนเรื่องเงินลงทุนไหลออก ก็เป็นไปตามกลไกของตลาด ที่นักลงทุนจะนำเงินออกไปหาผลตอบแทนที่สูงขึ้น โดยหากพบการเคลื่อนย้ายเงินทุนที่ผิดปกติ ธนาคารแห่งประเทศไทย ก็มีเครื่องมือในการรองรับความผันผวนที่จะเกิดขึ้น
ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ไทยมีความแข็งแกร่งทางการเงินจากระดับทุนสำรองสูง ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลต่อเนื่อง รวมทั้งสภาพคล่องที่ยังมีอยู่มาก ทำให้ผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดต่อเศรษฐกิจไทย มีไม่มากนัก