กลายเป็นประเด็นร้อนของนักดื่ม เมื่อมีการแชร์ต่อๆ กันในโลกออนไลน์ ถึงโครงสร้างภาษีสรรพสามิตใหม่ โดย เบียร์ เหล้า ไวน์ พบว่าได้ปรับขึ้นกว่าเดิมเท่าตัว อาทิ เบียร์ 6 ดีกรี จากภาษีขวดละ 40.20 บาท เป็น 132 บาท สุรากลั่น 35 ดีกรี จากเก็บภาษีขวดละ 162 บาท เป็น 320 บาท สุราขาวชุมชน จากภาษีขวดละ 98 บาท เป็น 199 บาท ไวน์ 12.5-14.5 ดีกรี จากภาษีขวดละ 225 เป็น 519-1,482 บาท
อัตราภาษีดังกล่าวถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก เพราะเป็นตัวเลขที่ปรับขึ้นสูงจนน่าตกใจ ผู้สื่อข่าวมติชนสอบถามไปยังกรมสรรพสามิต เพื่อขอให้ชี้แจงกรณีดังกล่าว เพราะมีการโยงไปถึงว่ารัฐบาลกำลังถังแตก
คำตอบแรกที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกรมตอบสั้นๆ เพียง “มั่ว”
เมื่อต่อสายไปยัง สมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต ได้รับการชี้แจงว่า ขณะนี้อัตราภาษีตาม พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิตฉบับใหม่ อยู่ในกระบวนการทูลเกล้าฯ และต้องรอประกาศในราชกิจจานุเบกษา หลังจากประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วกฎหมายจึงมีผลบังคับใช้ในอีก 180 วัน
อธิบดีกรมสรรพสามิตยืนยันอีกว่า ภาษีที่จัดเก็บจริงตามกฎหมายใหม่ ไม่ใช่อัตราที่แชร์ต่อๆ กันมาแน่นอน เพราะคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติชัดเจนว่า ร่าง พ.ร.บ.สรรพสามิตใหม่ต้องไม่สร้างภาระต่อประชาชนผู้บริโภคและไม่สร้างภาระต่อผู้ประกอบการ
ซึ่งกรมสรรพสามิตมีนโยบายชัดเจนจะจัดเก็บภาษีเท่าเดิม เช่น เบียร์เคยเสียภาษี 40 บาท จะเก็บภาษี 40 บาทเท่าเดิม!!
แต่อธิบดีกรมสรรพสามิตยอมรับว่า อัตราเพดานภาษีในกฎหมายใหม่จะสูงกว่าในปัจจุบัน เพราะในการร่างกฎหมายมองอนาคต 20 ปีข้างหน้า ดังนั้น อัตราต้องสูงไว้ก่อน เพราะหากจะมาแก้กฎหมายเพื่อแก้อัตราในอนาคตต้องเสียเวลาและมีขั้นตอนมาก
ดังนั้น จึงกำหนดอัตราเพดานในกฎหมายไว้สูง แต่อัตราจัดเก็บจริงจะประกาศใหม่ โดยใช้เป็นกฎกระทรวงการคลัง ซึ่งทำได้ง่ายกว่า
แต่กฎกระทรวงการคลังในเรื่องอัตราการจัดเก็บภาษีจริงนั้น ต้องผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ไม่ใช่กรมจะกำหนดตามอำเภอใจ อัตราการจัดเก็บภาษีจริงสามารถลดหรือเพิ่มตามนโยบายของรัฐบาลในอนาคต ต้องคำนึงถึงภาวะเศรษฐกิจ การหารายได้ และอื่นๆ ประกอบ
เมื่อถามว่าอัตราภาษี เหล้า ไวน์ เบียร์ ที่แชร์กันนั้นเป็นเพดานภาษีตามกฎหมายใหม่หรือไม่ อธิบดีกรมสรรพสามิตระบุว่า เท่าที่ดูคร่าวๆ ยังไม่ใช่ทั้งหมด อัตราที่แชร์กันนั้น ไม่ได้มาจากกรม และกรมไม่ทราบว่าอัตราที่นำไปแชร์นั้น คิดภาษีจากฐานอะไร เพราะในกฎหมายใหม่เปลี่ยนวิธีการคิดภาษี จากราคาหน้าโรงงาน ราคาขายส่งช่วงสุดท้าย เป็นราคาขายปลีกแนะนำ กรมสรรพสามิตคงไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดอัตราเพดานได้ เพราะกฎหมายยังไม่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา รวมถึงไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดของอัตราจัดเก็บจริงได้ เพราะในเรื่องอัตราถือเป็นความลับ จะประกาศต่อเมื่อกฎหมายมีผลบังคับใช้
อธิบดีสรรพสามิตกล่าวต่อว่า อัตราภาษีที่จัดเก็บจริงนั้นต้องปรับเปลี่ยนจากในปัจจุบัน เนื่องจากฐานของการคิดภาษีเปลี่ยนไป เป็นราคาขายปลีกแนะนำแทนราคาหน้าโรงงาน หรือราคานำเข้า ถ้าไม่ลดอัตราภาษีลง ผู้บริโภคและผู้ประกอบการต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้น ดังนั้น กรมต้องจัดทำอัตราภาษีจัดเก็บจริงใหม่
แต่ยอมรับว่าคงไม่ใช่ 1+1 เนื่องจากต้องมีเศษที่ต้องปัดขึ้น ปัดลง แต่ยังคงหลักการ คือเม็ดเงินภาษีที่จัดเก็บจากสินค้า ต้องไม่เปลี่ยนแปลงจากที่เก็บในขณะนี้
ภาษีสุราตาม พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิตฉบับใหม่ ให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพมากขึ้น โดยเพิ่มภาระภาษีตามปริมาณแรงแอลกอฮอล์ให้สูงขึ้นกว่าภาระภาษีตามมูลค่า หมายความว่าสัดส่วนรายได้ภาษีสรรพสามิตสุราจะมาจากภาระภาษีตามปริมาณแรงแอลกอฮอล์มากขึ้น โดยสุราที่มีราคาถูกและมีแรงแอลกอฮอล์ในระดับที่สูงจะต้องมีภาระภาษีที่สูงขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม สุราที่มีราคาสูงจะต้องมีภาระภาษีตามมูลค่าเพื่อสะท้อนถึงความฟุ่มเฟือยควบคู่ไปกับภาระภาษีตามปริมาณแรงแอลกอฮอล์เพื่อสะท้อนถึงหลักสุขภาพเป็นสำคัญ
เมื่อพิจารณาสุราทั้ง 3 ประเภท จากแรงแอลกอฮอล์หรือปริมาณแอลกอฮอล์ในน้ำสุราโดยทั่วไปแล้ว พบว่าสุรากลั่นจะมีดีกรีประมาณ 28-45 ดีกรี เบียร์ 3-7 ดีกรี และไวน์ 13-17 ดีกรี ตามลำดับ ดังนั้น ในการกำหนดอัตราภาษีใหม่เพื่อมุ่งเน้นหลักสุขภาพ เบียร์และไวน์ซึ่งมีดีกรีแอลกอฮอล์ในระดับที่ต่ำกว่าสุรากลั่นจึงมีเพดานอัตราภาษีตามปริมาณที่สูงขึ้น เพื่อให้ภาระภาษีสะท้อนแรงแอลกอฮอล์ที่เพิ่มขึ้น
ในขณะที่สุรากลั่นซึ่งมีปริมาณแอลกอฮอล์หรือแรงแอลกอฮอล์อยู่ในระดับที่สูงอยู่แล้ว จะมีเพดานอัตราภาษีตามปริมาณในระดับที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับเบียร์และไวน์ จากข้อมูลดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่าสุราแช่ประเภทเบียร์และไวน์ จะมีการปรับอัตราภาษีตามปริมาณเพิ่มขึ้น จาก 300 บาท และ 2,000 บาทต่อลิตรแห่งแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ เป็น 3,000 บาทต่อลิตรแห่งแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ของสุราแช่ทุกประเภท และได้ปรับอัตราภาษีตามมูลค่าลงจากเดิม คือ สุราแช่มีอัตราภาษีตามมูลค่าที่ 60% และอัตราภาษีตามมูลค่าของสุรากลั่นที่ 50% ปรับเป็นอัตราภาษีตามมูลค่าใหม่ของสุราแช่และสุรากลั่นในอัตรา 30%
ทั้งนี้ เพื่อให้โครงสร้างภาษีสุราใหม่มีความเรียบง่าย จึงจำเป็นต้องลดจำนวนประเภทของอัตราภาษี ตามมูลค่าและตามปริมาณลง ขณะที่จากเดิมสุรากลั่นมีอัตราภาษีตามปริมาณที่ 400 บาทต่อลิตรแห่งแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ ปรับใหม่เป็น 1,000 บาทต่อลิตรแห่งแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ ซึ่งสุรากลั่นปรับอัตราภาษีตามปริมาณเพิ่มขึ้นมากกว่าสุราแช่ กล่าวคือ สุรากลั่นเพิ่มขึ้น 1.5 เท่า ในขณะที่สุราแช่เพิ่มขึ้น 0.5 เท่า
สำหรับรายละเอียดของ พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต เป็นการรวมกฎหมายสรรพสามิต 7 ฉบับ ได้แก่ กฎหมายว่าด้วยภาษีสรรพสามิต กฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต กฎหมายว่าด้วยสุรา กฎหมายว่าด้วยยาสูบ กฎหมายว่าด้วยไพ่ กฎหมายว่าด้วยการจัดสรรเงินภาษีสรรพสามิต และกฎหมายว่าด้วยการจัดสรรเงินภาษีสุรา กฎหมายทั้ง 7 ฉบับใช้บังคับมาเป็นเวลานาน ไม่สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน
สาระสำคัญของร่างกฎหมาย ประกอบด้วย เพิ่มเติมบทนิยามที่สำคัญ เช่น คำว่า “ราคาขายปลีกแนะนำ” “ผลิต” “สุรา” “ยาสูบ” และ “ไพ่”, ปรับปรุงวิธีการจัดเก็บภาษีจากจัดเก็บในอัตราตามมูลค่าหรือตามปริมาณ แล้วแต่อัตราใดจะคิดเป็นเงินสูงกว่า เป็นจัดเก็บทั้งตามมูลค่าและตามปริมาณ, เปลี่ยนฐานในการคำนวณภาษีตามมูลค่า จากเดิม สินค้าที่ผลิตในราชอาณาจักร ใช้ราคาขาย ณ โรงอุตสาหกรรม และสินค้านำเข้า ใช้ราคาซีไอเอฟ รวมทั้งสินค้าสุรา ใช้ราคาขายส่งช่วงสุดท้าย เป็นราคาขายปลีกแนะนำ, ปรับปรุงอายุความประเมินภาษีจาก 2 ปี ขยายได้อีก 3 ปี รวมเป็น 5 ปี, ปรับปรุงขั้นตอนการโต้แย้งการประเมินภาษี, ปรับปรุงระบบการควบคุมสินค้าสุรา ยาสูบ และไพ่, ปรับปรุงบทกำหนดโทษให้เหมาะสมกับปัจจุบัน และปรับปรุงเพดานอัตราค่าธรรมเนียมต่างๆ และเพดานอัตราภาษี ให้เหมาะสมกับสภาวการณ์ในปัจจุบัน รวมถึงให้มีผลบังคับใช้ไปในอนาคตอย่างน้อย 20 ปีข้างหน้า
“ถ้าดูถึงการแก้กฎหมายไม่ได้เน้นแค่อัตราเพดานเพียงเรื่องเดียว การแก้กฎหมายดังกล่าวเพื่อให้ทันสมัย อำนวยความสะดวกผู้ประกอบการ ลดการใช้ดุลพินิจเจ้าหน้าที่ สร้างความโปร่งใส เป็นธรรม เป็นสากล สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน ขณะนี้กรมอยู่ระหว่างเตรียมการออกกฎหมายลูก 80 ฉบับ เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายแม่ !!”
หลังจากกฎหมายประกาศในราชกิจจาฯแล้ว มีแผนจะไปทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการ เช่น สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย รวมถึงหอการค้าต่างประเทศในไทย นอกจากนี้ ยังว่าจ้างมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์แปลกฎหมายเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อเผยแพร่ต่อผู้ประกอบการต่างชาติ
ดังนั้น อัตราภาษีจัดเก็บจริงนั้น ขอให้รอความชัดเจนจากกรม!?!