กรมอนามัย เผยหญิงไทยท้องไม่พร้อม ส่งผลทำแท้งเนื่องจากเหตุผลด้านเศรษฐกิจ สังคม ครอบครัว กว่าร้อยละ 60 แนะวิธีคุมกำเนิด พร้อมเตือนวัยรุ่นป้องกันก่อนมีเพศสัมพันธ์
นายแพทย์วชิระ เพ็งจันทร์ อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า ข้อมูลการแท้งในประเทศไทย ปี 2558 จากการสำรวจในโรงพยาบาลทั้งในและนอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุข 24 จังหวัด พบว่า มีการแท้งเอง ร้อยละ 56.9 ทำแท้ง ร้อยละ 43.1 โดยสาเหตุการทำแท้งจากเหตุผลด้านสุขภาพ ร้อยละ 37.4 และเหตุผลด้านเศรษฐกิจ สังคม ครอบครัว ร้อยละ 62.6
นอกจากนี้ ผู้ที่ทำแท้งด้วยเหตุผลด้านเศรษฐกิจ สังคม ครอบครัว ร้อยละ 28.6 มีสถานภาพนักเรียน/นักศึกษา ร้อยละ 26.3 อายุต่ำกว่า 20 ปี และร้อยละ 53.1 อายุต่ำกว่า 25 ปี นอกจากนี้ ในกลุ่มของเด็กอายุ 15 – 19 ปี ใน 1,000 คน จะมีคนที่ตั้งครรภ์อยู่ถึง 44 คน คิดเป็นร้อยละ 16 ต่อการตั้งครรภ์ต่อปี และในจำนวนนี้ยังมีผู้ที่อายุต่ำกว่า 15 ปี รวมอยู่ด้วย โดยสาเหตุของการท้องไม่พร้อมเป็นเพราะขาดความรู้ในเรื่องเพศศึกษาและเรื่องการคุมกำเนิดที่ถูกวิธี มีความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับการร่วมเพศที่คิดว่าครั้งเดียวคงไม่ท้อง ไม่สวมถุงยางอนามัยเพราะรู้สึกว่าขัดขวางความรู้สึกทางเพศ คิดว่าการมีเพศสัมพันธ์กับคู่รักปลอดภัยโดยไม่ป้องกัน
นายแพทย์วชิระ กล่าวต่อไปว่า การท้องไม่พร้อมมักนำไปสู่การตัดสินใจทำแท้ง ดังนั้น การคุมกำเนิดจึงจำเป็นสำหรับวัยเจริญพันธุ์ในระยะที่ไม่พร้อม ด้วยวิธีคุมกำเนิดแบบชั่วคราว ได้แก่ ยาเม็ดคุมกำเนิด ยาฉีดคุมกำเนิด ยาฝังคุมกำเนิด ห่วงยางอนามัย ถุงยางอนามัย และการคุมกำเนิดแบบถาวรคือการทำหมัน ซึ่งที่ผ่านมา กรมอนามัยได้ร่วมกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ จัดทำโครงการป้องกันการตั้งครรภ์ซ้ำในวัยรุ่น โดยจะให้บริการยาฝังคุมกำเนิดและห่วงอนามัยในวัยรุ่นอายุต่ำกว่า 20 ปีที่อยู่ในภาวะหลังคลอดหรือแท้ง หรือต้องการคุมกำเนิดในทุกสิทธิสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (30 บาทรักษาทุกโรค) สิทธิประกันสังคม หรือสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ ฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยสามารถเข้ารับบริการได้ที่โรงพยาบาลภาครัฐ และเอกชนที่อยู่ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งจะเป็นช่องทางหนึ่งในการช่วยลดปัญหาแม่วัยรุ่นและป้องกันการตั้งครรภ์ซ้ำในครั้งที่ 2 และลดการทำแท้งจากการตั้งครรภ์ไม่พร้อม
อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ทั้งนี้ ปัจจุบันมีพระราชบัญญัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ. 2559 โดยมีเป้าหมายสำคัญในการลดอัตราการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น ซึ่งจะส่งผลเด็กและเยาวชนจะได้รับสิทธิประโยชน์ 5 เรื่องที่สำคัญ คือ 1) สถานศึกษาต้องจัดให้มีการสอนเพศวิถีศึกษาอย่างเหมาะสม จัดหาและพัฒนาผู้สอนเพศวิถีศึกษา การให้คำปรึกษา ช่วยเหลือและคุ้มครองวัยรุ่นที่ตั้งครรภ์ให้ได้รับการศึกษาต่ออย่างเหมาะสม รวมทั้งส่งต่อให้ได้รับสวัสดิการสังคม 2) สถานบริการต้องให้ข้อมูลความรู้และจัดบริการอนามัยการเจริญพันธุ์ รวมทั้งส่งต่อให้ได้รับสวัสดิการสังคม 3) สถานประกอบกิจการต้องให้ข้อมูลความรู้และส่งเสริมให้เข้าถึงบริการอนามัยการเจริญพันธุ์ รวมทั้งส่งต่อให้ได้รับสวัสดิการสังคม 4) การจัดสวัสดิการสังคมเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น และ 5)ให้ราชการส่วนท้องถิ่นมีอำนาจออกข้อบัญญัติท้องถิ่นเพื่อคุ้มครองสิทธิของวัยรุ่น