วันนี้ (20 ก.ย.66) ตำรวจสอบสวนกลาง กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) บุกจับกุม พ.ต.ท.ณัฐพล อายุ 56 ปี เป็นสารวัตรสอบสวน สภ.โคกสำโรง หลังมีพฤติการณ์เรียกรับสินบนจากผู้ต้องหา
สำหรับคดีนี้สืบเนื่องมาจากผู้ต้องหารายหนึ่ง มีอาชีพเป็นผู้รับเหมาทุกตึก ถูกยื่นฟ้องในคดี “ร่วมลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะ” ได้ร้องเรียนมายัง นายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ หรือ “กัน จอมพลัง” ว่าถูกนายตำรวจระดับสารวัตร ของ สภ.โคกสำโรง เรียกรับเงินสินบนค่าทำคดี โดยเรียกเงินจำนวน 1 เเสนบาท ทางผู้ต้องหาจ่ายเงินไปเเล้วก้อนเเรก จำนวน 5 หมื่นบาท เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2566 จ่ายที่ลานจอดรถของศาลากลางจังหวัด ส่วนอีกก้อนนัดหมายรับวันนี้ (20 ก.ย.66)
ต่อมา “กันจอมพลัง” ได้ประสานไปยังตำรวจสอบสวนกลาง กองบังคับการปราบปราม ทางเจ้าหน้าที่จึงวางเเผนจับกุม โดยให้ผู้ต้องหาเอาเงินที่เหลืออีกก้อน จำนวน 5 หมื่นบาท ไปให้กับสารวัตรคนดังกล่าว ซึ่งตอนเเรกสารวัตรมีการนัดหมาย ให้ผู้ต้องหานำเงินไปส่งมอบที่สำนักงานอัยการ ในเวลา 07.00 น. เเต่ภายหลังได้เปลี่ยนสถานที่กะทันหัน โดยนัดหมายให้นำเงินไปส่งมอบภายในร้านอาหารเเห่งหนึ่ง อยู่ในพื้นที่อำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี ซึ่งร้านดังกล่าวตั้งอยู่ในซอยตัน และมีการเปลี่ยนเวลาในการส่งมอบเงินเป็น 09.00 น. เเต่ก็เดินทางมาถึงจุดนัดหมายช้ากว่าเวลานัด 2 ชั่วโมง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าตัวสารวัตรเองก็มีความระมัดระวังตัวเองพอสมควร
ซึ่งหลังจากที่รับเงินจากผู้เสียหายเเล้ว ขณะที่กำลังจะเดินขึ้นรถกระบะส่วนตัว ที่จอดอยู่บริเวณลานจอดรถของร้านอาหาร เพื่อเดินทางกลับ ทางเจ้าหน้าที่จึงซ้อนเเผนเข้าจับกุม โดยพบเงินของกลาง จำนวน 5 หมื่นบาท อยู่ในกระเป๋ากางเกงด้านขวาหลัง เป็นธนบัตรใบละ 1,000 บาท จำนวน 50 ฉบับ ซึ่งการตรวจสอบเลขธนบัตร ตรงตามที่ทำบันทึกของกลางไว้ พร้อมทั้งได้ตรวจค้นรถซึ่งก็ไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย
ภายหลังจากจับกุม พ.ต.อ.สมบัติ มาลัย ผู้กำกับการ กองป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) ได้เข้ามาสอบปากคำ พ.ต.ท.ณัฐพล (ผู้ต้องหา) คำแรกได้ทักทายว่า “คุณณัฐพล คุณไปทำอะไรมา” ซึ่งทาง พ.ต.ท.ณัฐพล ก้มหน้าไม่ได้ตอบคำถาม
นอกจากนี้ผู้กำกับ ยังถามอีกว่า รู้ใช่หรือไม่ว่าตอนนี้ตัวเองถูกจับกุมกลายเป็นผู้ต้องหาแล้ว พ.ต.ท.ณัฐพล (ผู้ต้องหา) ตอบเพียงสั้นๆ ว่า “ครับ” จากนั้นทางผู้กำกับได้ เล่าความเป็นมาว่าก่อนหน้านี้ได้รับการร้องเรียนจากผู้เสียหาย ซึ่งเป็นผู้ต้องหาอีกคดีหนึ่ง ได้ร้องเรียนว่ามีการเรียกรับเงินจำนวน 1 หมื่นบาท และก่อนหน้านี้ได้จ่ายเงินให้กับตำรวจไปแล้วจำนวน 5 หมื่นบาท ซึ่ง พ.ต.ท.ณัฐพล ปฏิเสธว่าไม่ได้มีการรับเงินก้อนแรก แต่จำนวนด้วยหลักฐานว่าเงินก้อนที่ 2 อยู่ในกระเป๋ากางเกงตัวเองจริง
ก่อนที่ผู้กำกับฯ จะอ่านบันทึกการจับกุมให้ฟัง เบื้องต้น ในชั้นจับกุม แจ้ง 1 ข้อหา ตามมาตรา 150 “ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน กระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่ง โดยเห็นแก่ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด ซึ่งตนได้เรียกรับหรือยอมจะรับไว้ก่อนที่ตนได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าพนักงานในตำแหน่งนั้น” พร้อมกันนี้ยังได้แจ้งสิทธิ์ผู้ต้องหาตามกฎหมายว่าสามารถจะให้การหรือไม่ให้การในชั้นพนักงานสอบสวนก็ได้และผู้ต้องหายังมีสิทธิ์ในการติดต่อญาติหรือทนายความได้
หลังจากนั้น พ.ต.ท.ณัฐพล (ผู้ต้องหา) ได้ขอใช้สิทธิ์ตามกฎหมายในการติดต่อญาติ โดยได้โทรศัพท์หาภรรยา และขอพูดคุยเป็นการส่วนตัว ก่อนที่ทางเจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวไปทำบันทึกจับกุมที่ สภ.โคกสำโรง
นายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ หรือ “กัน จอมพลัง” กล่าวว่า คดีนี้ผู้เสียหายมาร้องเรียนแทนพ่อ ซึ่งถูกดำเนินคดีหลังจากเข้าไปรับจ้างทุบตึก โดยตำรวจอ้างว่าจะสามารถช่วยเหลือคดีนี้ได้ และยังอ้างอีกว่าเงินจำนวนนี้จะนำส่งต่อให้กับอัยการและตำรวจระดับ รอง ผบ.ตร ตนเองจึงประสานไปยังเจ้าหน้าที่กองปราบฯ และมีการประชุมวางแผนร่วมกับเจ้าหน้าที่เป็นเวลากว่า 2 สัปดาห์ และมีการนัดเเนะสถานที่ต่าง ๆ จนกระทั่งวันนี้สามารถจับกุมผู้ต้องหา เป็นตำรวจยศระดับสารวัตร
ซึ่งวิธีการที่ตำรวจนายนี้กระทำนั้น เชื่อว่าไม่สามารถช่วยเหลือคดีได้อย่างแน่นอน แต่เป็นการตีกินเพื่อหลอกเอาเงิน ผู้เสียหาย ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม เป็นการเอาอาชีพของตัวเองมาหากิน ภาพตำรวจจับตำรวจก็ไม่สมควรจะเกิดขึ้น การกระทำดังกล่าวทำให้วงการตำรวจเสื่อมเสีย
ด้านผู้เสียหาย คือ น.ส.โรส (นามสมมุติ) อายุ 34 ปี เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้เมื่อช่วงปลายเดือนสิงหาคม ปี 65 พ่อของตนวัย 59 ปี ซึ่งเป็นผู้รับเหมาทุบตึก ได้รับการว่าจ้างจากผู้ชายคนหนึ่ง ชื่อ “นายบอย” ให้ไปทุบอาคารโรงงาน แต่เมื่อไปถึงสถานที่ก็รู้สึกเเปลกใจ เพราะไม่เหลือโครงสร้างหรือรูปร่างของอาคารแล้ว เนื่องจากถูกทุบไปก่อนหน้านี้ เหลือเพียงเศษซากเท่านั้น จึงทำได้เพียง เข้าไปรื้อเศษซากเเละโครงเหล็กออก แต่มาทราบภายหลัง ว่าที่ดินผืนดังกล่าวถูกธนาคารยึดอยู่ การเข้าไปรื้อถอนหรือกระทำการใด ๆ นั้นถือว่าผิดกฎหมาย
ซึ่งตนก็พยายามติดต่อไปหานายบอย (ผู้ว่าจ้าง) แต่นายบอยก็บ่ายเบี่ยง อ้างให้ไปคุยผ่านตำรวจเท่านั้น และไม่สามารถติดต่อนายบอยได้อีก
ต่อมามีหมายเรียกส่งมาที่บ้าน แต่พ่อไม่ได้ไปพบเจ้าหน้าที่ เนื่องจากมีตำรวจเจ้าของคดีติดต่อมา บอกว่าอาคารดังกล่าวมีมูลค่า 305 ล้านบาท เเละอ้างว่าคดีดังกล่าวนั้นสามารถเคลียร์ได้ โดยที่ไม่ต้องนำเอกสารหรือหลักฐานใดๆ มายื่น เพียงแต่ต้องใช้เงินจำนวน 3 เเสนบาท ซึ่งตนเองไม่มีเงิน จึงได้มีการต่อรองเหลือ 1 เเสนบาท เเต่ยังไม่มีเงินให้ จนกระทั่งช่วงปลายเดือนธันวาคมปี 65 พ่อของตนถูกออกหมายจับในข้อหา “ร่วมกันลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะ”
จากนั้นทางตำรวจก็ติดต่อมาหาโดยเร่งให้นำเงินมาให้ ก่อนวันที่ 26 กันยายน 2566 โดยอ้างว่าหากไม่นำเงินมาตามกำหนดพ่อของตนจะต้องติดคุก โดยได้นัดหมายให้นำเงินก้อนแรกจำนวน 5 หมื่นบาท ที่ศาลากลางจังหวัดลพบุรี ซึ่งตอนแรกอ้างว่าจะพาไปพบอัยการ โดยให้ไปนั่งรอที่หน้าห้องอัยการ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พบ และไปจ่ายเงินที่บริเวณลานจอดรถของศาลากลางจังหวัด
แต่สิ่งที่ตนตั้งข้อสังเกต คือนอกจากพ่อของตนแล้ว ยังมีผู้รับเหมาอีกหลายคนที่เข้าไปรับงานทุบอาคารดังกล่าว รวมไปถึงตัวนายบอย (ผู้ว่าจ้าง) ก็ไม่ได้โดนดำเนินคดีใด ๆ จึงตั้งข้อสงสัยว่าเป็นการวางงานหรือไม่ ซึ่งหากทราบตั้งแต่แรกว่าเป็นที่ดินผิดกฎหมาย ก็คงไม่เข้าไป
ผู้เสียหายเล่าทั้งน้ำตา ว่า ตลอดระยะเวลา 1 ปี ที่เกิดเรื่องขึ้น ครอบครัวของตนได้รับผลกระทบหนัก เครียดจนถึงขั้นร้องไห้ นอกจากนี้ยังหวาดกลัว เนื่องจากตำรวจคนนี้ มีการกล่าวอ้างว่ามีตำรวจระดับ รอง ผบ.ตร.หนุนหลังอยู่ จึงรู้สึกหวาดกลัวไม่กล้าทำอะไร จึงร้องเรียนมายังกันจอมพลัง
อย่างไรก็ตาม ตนเองไม่ได้อยากทำกับสารวัตรนั้นแบบนี้ แต่ก็ไม่อยากให้พ่อต้องติดคุกเหมือนกัน ที่ผ่านมาเขาไม่ยอมรับเอกสารอะไรจากตนเลย เอาแต่บังคับให้การตามสำนวนที่นายตำรวจคนดังกล่าวเขียนเพียงเท่านั้น
ศูนย์ข่าวภาคกลาง หนังสือพิมพ์ 5 เหล่าทัพ