เมื่อวันที่ 29 พ.ค.66 เวลา 14.00 น.ที่ผ่านมา ที่สน.หัวหมาก : นายสันธนะ ประยูรรัตน์ อดีตตำรวจสันติบาล เดินทางมายัง สน.หัวหมาก เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ นักเคลื่อนไหวชื่อดัง จากกรณีที่ก้าวก่ายแทรกแซงเสมือนช่วยหาเสียงของพรรคก้าวไกล ซึ่งปรากฎหลายครั้งตามสื่อต่างๆ จึงส่อผิดกฎหมายเลือกตั้ง
โดยนายสันธนะฯ กล่าวว่า หลังจากเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ตนได้เดินทางไปที่ที่ทำการพรรคก้าวไกล ปรากฏว่าถูกนายชูวิทย์ฯ ตามมาต่อว่าและคุกคามสิทธิเสรีภาพของตนเอง โดยมีการพูดจาต่อว่าตนต่อหน้าสาธารณชน และในวันนั้นปรากฏว่ามีบุคคลปริศนาขว้างปาแก้วน้ำใส่ มุ่งหวังจะทำร้ายตนเอง แต่โชคดีที่ตนหลบขึ้นมาบนรถแล้ว จึงไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใด มีเพียงแก้วน้ำที่กระแทกรถเท่านั้นและไม่ได้รับความเสียหาย
นอกจากนี้ ตามที่ตนเองได้ยื่นหนังสือไปถึงสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. เพื่อขอให้ตรวจสอบสถานะของนายชูวิทย์ฯ ว่าเป็นสมาชิกพรรคก้าวไกลหรือไม่นั้น ล่าสุดตนเองได้รับหนังสือชี้แจงจาก กกต. ระบุว่า นายชูวิทย์ฯ ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคก้าวไกลแต่อย่างใด จึงทำให้ตนสงสัยว่า นายชูวิทย์ฯ มีสิทธิ์อะไรที่ขึ้นไปปราศรัยบนรถขยายเสียงของพรรคก้าวไกล โดยเฉพาะในเย็นวันที่ 15 พฤษภาคม 2566 ที่พรรคก้าวไกลมีการจัดขบวนบริเวณโดยรอบอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ซึ่งเนื้อหาที่นายชูวิทย์ฯ พูดบนรถนั้นก็มีการกล่าวหาโจมตีพรรคการเมืองอื่นๆ ด้วย อีกทั้งยังปรากฎว่านายชูวิทย์ฯ พูดจาให้ร้ายพรรคการเมืองอื่นๆ ณ ที่ทำการพรรคก้าวไกลอีกด้วย
ด้วยเหตุนี้ ตนจึงตัดสินใจเดินทางมาแจ้งความกับพนักงานสอบสวนดำเนินคดีนายชูวิทย์ฯ ในข้อหา หมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา/กับข้อหา ดูหมิ่นซึ่งหน้า นอกจากนี้ ตนได้ทำหนังสือถึง ผกก.สน.หัวหมาก แล้วก่อนหน้านี้ว่า ให้ดำเนินการขอภาพวงจรปิดจากบริเวณด้านหน้าที่ทำการพรรคก้าวไกล ซึ่งวันนี้ตนเดินทางมาตรวจสอบวงจรปิด และหากพบว่าใครเป็นผู้ขว้างปาแก้วน้ำใส่ตน ก็จะแจ้งข้อหาพยายามทำร้ายร่างกาย กับบุคคลนั้นด้วยอีก 1 กระทง ซึ่งไม่แน่ใจว่า คนที่ขว้างปาแก้วน้ำคือนายชูวิทย์ฯ หรือไม่ แม้ว่าวันนั้นนายชูวิทย์ฯ จะกล่าวอ้างว่าเป็นประชาชนทั่วไปปา แต่ตนไม่เชื่อ เพราะเป็นไปได้ว่าน่าจะเป็นฝีมือของผู้ติดตามนายชูวิทย์ฯ มากกว่า
นอกจากนี้ นายสันธนะฯ ยังกล่าวอีกว่า นายชูวิทย์ฯ มีพฤติกรรมหิวแสง ชอบพูดจาให้ร้ายบุคคลอื่นๆ โดยเฉพาะพรรคการเมืองอื่น ผ่านการโพสต์ลงในโซเชียลมีเดีย รวมไปถึงอาศัยพื้นที่สื่อมวลชนในการโจมตีให้ร้าย จึงอยากจะขอวิงวอนไปยังสื่อมวลชนว่า อย่าไปให้ คุณค่ากับนายชูวิทย์ฯ อย่าถูกนายชูวิทย์ฯ หลอกใช้เป็นเครื่องมือ ยังมีข่าวหรือประเด็นอื่นๆ ในสังคมอีกมากมายที่สื่อมวลชนควรให้ความสนใจมากกว่านายชูวิทย์ฯ
นายสันธนะฯ ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ในส่วนกรณีของพรรคก้าวไกลเอง ด้วยความที่ตนเป็นสมาชิกพรรค ตนได้ทำหนังสือถึงไปยังนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล แล้วว่า ให้ดำเนินการตรวจสอบและแจ้งความร้องทุกข์กับนายชูวิทย์ฯ เพราะนายชูวิทย์ฯ ไม่ใช่สมาชิกพรรค แต่ฉวยโอกาสอาศัยพื้นที่ของพรรคทั้งเวทีหาเสียงหรือการเดินทางมาที่ทำการพรรค เพื่อพูดโจมตีกล่าวปราศรัยให้ร้ายผู้อื่น ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม ซึ่งถ้าหากว่าพรรค มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็นและนายชูวิทย์ฯ เป็นคนมาอาศัยพื้นที่ของพรรคก้าวไกลเอง พรรคก็ควรจะต้องออกมาตอบโต้เพื่อเป็นการปกป้องตนเอง เนื่องจากประเด็นนี้ อาจจะถูกเพ่งเล็งโดยพรรคการเมืองอื่นๆ จนถูกยื่นตรวจสอบหรือเอาผิดตามกฎหมายเลือกตั้งได้ ทั้งนี้ ตนยังมองอีกว่า นายชูวิทย์ฯ เพียงแค่อาศัยว่าพรรคการเมืองใดที่ชนะเลือกตั้ง ก็จะไปเกาะกระแสกับพรรคนั้นเท่านั้น
ทั้งนี้นายสันธนะฯ ยังกล่าวอีกว่า หลังจากที่ทางกกต. ได้ส่งหนังสือแจ้งมายังตนแล้วว่านายชูวิทย์ฯ มิใช่สมาชิกพรรคก้าวไกล ในวันนี้ตนก็จะลงบันทึกประจำวัน กับพนักงานสอบสวน สน.หัวหมาก ว่าตนได้รับหนังสือดังกล่าวจาก กกต. จริง และเตรียมที่จะเดินทางไปยื่นเรื่องกับ กกต. เพื่อให้ตรวจสอบพฤติกรรมของนายชูวิทย์ฯ ที่ก้าวก่ายพรรคและไปช่วยหาเสียงพรรคว่าเข้าข่ายผิดกฎหมายเลือกตั้งต่อไป
ด้าน พ.ต.อ.เศรษฐพันธ์ ศรีสาคร ผกก.สน.หัวหมาก ได้เดินทางลงมารับหนังสือของนายสันธนะฯ พร้อมกับกล่าวว่า หลังจากรับเรื่องแล้ว ก็จะเร่งดำเนินคดีให้เร็วที่สุด ส่วนเรื่องของภาพวงจรปิดบริเวณด้านหน้าพรรคก้าวไกลนั้น ตอนนี้ยังได้มาไม่ครบ เนื่องจากว่ายังขาดกล้องวงจรปิดจาก กทม. ที่กำลังดำเนินการขออยู่ ซึ่งหลังจากที่ได้ภาพวงจรปิดมาครบทุกมุมแล้ว จะเร่งดำเนินการตรวจสอบภาพวงจรปิดโดยละเอียดเพื่อหาว่าใครเป็นผู้กระทำความผิดในการขว้างปาสิ่งของใส่รถยนต์ของนายสันธนะฯ ส่วนจะดำเนินคดีในข้อหาพยายามทำร้ายร่างกายหรือทำให้เสียทรัพย์นั้น ต้องดูภาพวงจรปิดอย่างละเอียดพร้อมกับเจตนาอีกครั้ง ทั้งนี้ตามขั้นตอน หากดำเนินการแจ้งความร่วมทุกข์เสร็จเรียบร้อยและรวบรวมพยานหลักฐานแล้ว ก็อาจจะต้องเรียกนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ในฐานะผู้ถูกร้อง มาให้ปากคำต่อไป
สุรเชษฐ ศิลานนท์ รายงาน