วันที่ 3 พฤษภาคม 2566 เวลา 13.00 น. พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย ผบช.ภ.5 เป็นประธานในการประชุมคณะทำงานและส่วนที่เกี่ยวข้อง พร้อมเร่งรัดติดตามคดีฆ่าเซลส์สาว ในพื้นที่ สภ.สันทราย และคดีข่มขืนในพื้นที่ สภ.ดอยสะเก็ด ณ ห้องประชุม ศปก.ภ.จว.เชียงใหม่
พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย ผบช.ภ.5 เปิดเผยหลังจากสิ้นเสร็จการประชุมว่า ในวันนี้เชิญรองผู้บัญชาการที่ดูแลสืบสวนสอบสวน ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ และผู้กำกับสถานีตำรวจ ที่เกี่ยวข้องกับคดีฆ่าเซลล์สาว มาทำการประชุมติดตามความคืบหน้า และเร่งรัดในการดำเนินคดี
เบื้องต้นจากพยานหลักฐานทราบว่า ผู้ต้องหารายนี้มีประวัติการเหตุในหลาย ๆ ท้องที่ ทั้งในพื้นที่นครบาล และในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ จึงได้สั่งการให้นำเอาข้อมูลในคดีต่าง ๆที่เกิดขึ้นในจังหวัดเชียงใหม่ มาเปรียบเทียบกับแผนประทุษกรรมของผู้กระทำความผิดในคดีนี้ หากพบว่ามีความเกี่ยวพันเชื่อมโยง ก็จะดำเนินคดีต่อไป
ที่สำคัญคือให้นำหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์มาทำการเปรียบเทียบและยืนยันว่า ผู้ต้องหารายนี้จะเกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าวข้างต้นหรือไม่ หรือจะมีคดีอื่นที่มีลักษณะเดียวกันนี้อีกหรือไม่
นอกจากนี้ ยังได้สั่งการให้ กก.สส.ภ.จว.เชียงใหม่ ประสานกับ บช.น. ,ภ.1 ,ภ.2 และ ภ.7 โดยเฉพาะ ภ.7 ว่ามีคดีที่มีแผนประทุษกรรม หรือมีการกระทำความผิดใกล้เคียงกันและยังไม่ได้ตัวผู้ต้องหา หรือมีคดีนอกเหนือจากที่มีอยู่ตอนนี้ เพื่อที่จะได้ทำให้การดำเนินคดีกับผู้ต้องหารายนี้ครบถ้วน และสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ สิ่งสำคัญก็คือให้ประสานกับทางศาล โดยพนักงานสอบสวนได้คัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหารายนี้ รวมถึงเมื่อการสอบสวนเสร็จแล้วจะต้องมีการฟ้องให้เพิ่มโทษกับผู้ต้องหาซึ่งเคยก่อคดีในลักษณะนี้มาแล้วหลายครั้ง
สำหรับกรณีที่เกิดขึ้นในท้องที่ของ สภ.ดอยสะเก็ด จากการตรวจสอบในเบื้องต้นทราบว่า พนักงานสอบสวนได้ดำเนินการตามกฎหมาย มาตรา 134 วรรค 1 ถูกต้องครบถ้วนแล้ว ส่วนการใช้ดุลพินิจตาม มาตรา134 วรรค 5 ว่าเหมาะสมหรือสมบูรณ์หรือไม่ ได้สั่งการให้ผู้การจังหวัดเชียงใหม่ได้ทำการตรวจสอบข้อมูลหาข้อเท็จจริง
อย่างไรก็ตาม สำหรับคดีในท้องที่ของ สภ.ดอยสะเก็ด ต้องรอผลตรวจทางนิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลา เพราะผู้ต้องหาก่อเหตุในหลายท้องที่ และมีพยานหลักฐานโดยเฉพาะพยานบุคคลที่เกี่ยวข้องหลายคน
ทั้งนี้ ขอเน้นย้ำว่าเร็วหรือช้าไม่สำคัญ แต่ผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินคดีต้องเกิด การรวบรวมพยานหลักฐานให้กระจ่าง ให้หมดข้อสงสัย เพื่อให้ศาลได้พิจารณาลงโทษผู้ต้องหาได้ครบถ้วนและดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยในคดีนี้เป็นคดีที่มีการข่มขื่นกระทำชำเราโดยมีอาวุธ ซึ่งเป็นการกระทำผิดตามประมวลกฎอาญา มาตรา 276 มีอัตราโทษ จำคุกตั้งแต่ 15 ปี ถึง 20 ปี และปรับตั้งแต่สามแสนถึงสี่แสนบาท หรือ จำคุกตลอดชีวิต