เมื่อวันที่ 21 เม.ย.66 ณ ห้องเรียนศาลาอเนกประสงค์ริมน้ำ วัดทองบน : นายนรเสฏฐ์ เธียรประสิทธิ์ หรือ ครูพรีมมี่ ผู้สมัคร ส.ส. เขต 3 ยานนาวา-บางคอแหลม เบอร์ 10 พรรคภูมิใจไทย ได้เข้าร่วมกิจกรรมจัดการเรียนการสอนกับกลุ่มนักเรียนผู้สูงวัย ในโรงเรียนผู้สูงอายุยานนาวา วัดทองบน ถนนพระราม 3 ซึ่งเป็นโรงเรียนที่รับรองโดย กศน. เขตยานนาวา ตามหลักสูตรการศึกษาตลอดชีวิต ครูพรีมมี่ ได้ใช้เวลาช่วงเว้นว่างจากกิจกรรมนันทนาการให้ห้องเรียนรู้ เพื่อขอโอกาสแนะนำตัวและนำเสนอนโยบาย อันเป็นที่ถูกใจชาวสูงวัยเขตยานนาวาอย่างมาก เพราะครูพรีมมี่ อาศัยความเป็น “ครู” สอนหนังสือมาก่อน จึงสามารถเรียกร้องความสนใจของผู้ใหญ่ในห้องเรียนได้ไม่ยาก โดยเฉพาะเมื่อได้รับไมค์มา ครูพรีมมี่ ก็เริ่มต้นด้วยประโยคที่คุ้นเคยทันที “หากพวกเรากำลังสบาย จงตบมือพลัน” ผู้สูงวัยทุกท่านก็พร้อมรับมุกโดยพร้อมเพรียง ตบมือเสียงดังๆ ตามด้วยเสียงหัวเราะด้วยความเป็นกันเอง ก่อนที่นายนรเสฎฐ์ฯ จะขอให้ทุกคนชูมือขึ้นทั้งสองข้างและถามไปว่า “ครูพรีมมี่เบอร์อะไร” แน่นอนว่า “เบอร์10″ ก็ดังประสานเสียงโดยพร้อมเพรียงอีกเช่นกัน
“ครูพรีมมี่” แนะนำตัวเองว่า จบการศึกษาปริญาตรี BBA จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หลังจากนั้นได้ทำงานกับกลุ่มซีพี ที่กรุงปักกิ่ง และไปศึกษาต่อปริญญาโท MBA สาขาการเงิน ที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน และได้เปิดโรงเรียนกวดวิชาภาษาอังกฤษให้กับคนจีน รวมทั้งได้เปิดคอร์สอบรมคุณครูสอนภาษาอังกฤษโรงเรียนอนุบาลที่ปักกิ่ง นับเป็นคนไทยคนแรกที่เข้าไปเปิดธุรกิจด้านการศึกษาในประเทศจีน ต่อมาบังเอิญว่ามีผู้บริหารกระทรวงการศึกษาธิการของไทยในขณะนั้น ได้ไปศึกษาดูงานที่สาธารณรัฐประชาชนจีน และได้มีโอกาสพบกับครูพรีมมี่ จึงได้เชิญชวนครูพรีมมี่กลับมาช่วยประเทศไทยด้านการศึกษาเพื่อพัฒนาหลักสูตรภาษาจีนในไทย “ผมโตมากับครอบครัวการศึกษา ที่บ้านทำโรงเรียนอนุบาล ถูกปลูกฝังมาตลอดว่าต้องช่วยเหลือสังคม สิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมได้ก็คือการศึกษา พอเรามาเห็น เราก็รู้สึกว่าสิ่งที่จะทำให้ประเทศไทยพัฒนาได้คือการศึกษา วันนี้ยิ่งได้มาเห็นพี่ๆ (ครูพรีมมี่อ้อนผู้สูงวัยขอเรียกพี่) ยังมาเรียนกันพร้อมหน้าแบบนี้ ก็ยิ่งทำให้เชื่อมั่นในความสำคัญของการเรียนรู้ตลอดชีวิต ซึ่งตรงกับนโยบายของพรรค
“วันนี้รู้สึกประทับใจมากที่เข้ามาเห็นคุณครูกำลังสอนเรื่องภัยคุกคามด้านออนไลน์ ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตของทุกคนมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็ได้ให้ความรู้เรื่องออนไลน์กับผู้สูงวัย ซึ่งเหมือนกับที่ผมตั้งใจมาสนับสนุนเรื่องนี้การศึกษาเท่าเทียมอยู่แล้วโดยสอดคล้องกับนโยบายพรรคภูมิใจไทย ที่ผลักดันการศึกษาตลอดชีพผ่านการเรียนการสอนแบบออนไลน์ ซึ่งจะพัฒนาหลักสูตรให้เข้มแข็งและตอบโจทย์กับทุกช่วงวัย โดยเฉพาะให้เหมาะกับผู้สูงวัยด้วย เพราะวัยนี้การเรียนแบบในห้องเรียนเพียงอย่างเดียวนั้น อาจจะไม่คล่องตัว เพราะวัยนี้แล้วอาจจะมีภาระ มีงานมีการติดพัน ต้องค้าต้องขาย ไม่สะดวกมาเรียน แต่เชื่อว่าทุกคนอยากได้โอกาสพัฒนาตนเอง ฉะนั้นถ้ามีหลักสูตรออนไลน์ จึงจะทำให้เรียนที่ไหนก็ได้ เวลาใดก็ได้ จะทำธุระอะไรอยู่ก็สามารถเรียนรู้ด้วยตนเองได้ เพราะเป็นหลักสูตรออนดีมานด์ ขอเพียงแค่มีโทรศัพท์มือถือก็สามารถเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม”
ความสำคัญคือการสร้างหลักสูตร ไม่ได้มุ่งหมายเพียงให้มีแต่ “ความรู้” แต่หวังผลให้นำไปใช้ปฏิบัติได้จริง ประกอบอาชีพ หรือสร้างอนาคตได้ “นโยบายภูมิใจไทยตั้งเป้าหมายจะสร้างผู้ประกอบการนักธุรกิจออนไลน์ให้ได้ถึง 9 ล้านคนทั่วประเทศ ซึ่งผู้สูงวัยชาวยานนาวาจะเป็นส่วนหนึ่งในนี้ด้วย การเรียนให้ได้มีความรู้ขึ้นมาก็ดี แต่เราจะต้องคิดต่อไปว่า จะสอนจะอบรมอย่างไรให้ทุกคนนำไปใช้ได้จริง ยกตัวอย่าง สอนให้ทำอาหาร ทำของขายแล้ว อาจจะไม่พอ ต้องมีคอร์สอบรมสอนให้รู้จักขายสินค้า นำเสนอขายแบบอินฟลูเอนเซอร์ หรือจะเป็นยูทูบเบอร์ ต้องทำอย่างไร ลองคิดดูผู้สูงวัยบางท่านอาจจะไม่มีงานทำเพราะเกษียณแล้ว แต่อาจจะสามารถไปรีวิวสินค้า หรือ มีทักษะทำอาหารขนมเก่งอยู่แล้ว แต่อาจจะเรียนเพิ่มเรื่องขายของออนไลน์ เเพื่อจะเพิ่มช่องทางการตลาดให้ได้”
ที่สำคัญนโยบายการศึกษาเท่าเทียมนั้นจะเป็นการร่วมมือระหว่างภาครัฐกับสถาบันการศึกษาต่างๆ รวมทั้งจะต้องจัดหาหรือมีการให้ทุนมอบแก่ผู้ประกอบการด้วย เพื่อที่จะให้คนที่ได้เรียนแล้วมีโอกาสจะไปประกอบธุรกิจได้จริง ครูพรีมมี่ยกตัวอย่างโครงการหนึ่งที่ตนเองทำสำเร็จมาแล้วว่า “เราเคยได้ไปสนับสนุนผู้สูงวัยกลุ่มหนึ่งทำดอกไม้จันทน์ขายในวัดในชุมชนที่เขตดุสิต ตอนนั้นเป็นโครงการจิตอาสาแต่แสดงให้เห็นว่าผู้สูงวัยนั้นมีศักยภาพ สามารถสร้างเงินสร้างรายได้ และเป็นกลุ่มอาชีพที่มีความต้องการ เพียงแต่ว่าต้องการความสนับสนุนจากภาครัฐเข้ามา เช่นเรื่องการฝึกอบรม และมีผู้เชี่ยวชาญมาดูแลอย่างใกล้ชิด จึงทำให้เกิดเป็นผลสัมฤทธิ์ขึ้นมา คือจะอธิบายว่า ไม่ใช่แค่มีการเรียนการสอนเกิดขึ้น จบแล้วก็แล้วไป แต่มีการต่อยอด การเชื่อมต่อ การแนะนำทิศทางให้เสร็จว่า เมื่อมีการทำสินค้าแล้ว ต้องคิดว่าไปขายที่ไหนต่อ ไม่ใช่แค่สนับสนุนให้มีการผลิตขึ้นมาเป็นจำนวนมากๆ แล้วจะระบายสินค้าไปทางไหน หรือต้องหาผู้ซื้อต่อได้อย่างไร ทางพรรคภูมิใจไทยจึงมองว่า การศึกษาออนไลน์ จะเข้ามาช่วยแก้ประเด็นปัญหาเหล่านี้”
นายนรเสฏฐ์ฯ ได้กล่าวต่อไปว่า “แม้พรรคภูมิใจไทยอาจจะกล่าวได้ว่ายังเป็นพรรคใหม่ในความรู้สึกชาวกทม. แต่ผลงานที่ผ่านมาพิสูจน์แล้วว่า เราทำให้กับชาวกรุงเทพ ทำมานานแล้ว” ครูพรีมมี่เล่าถึงประสบการณ์ในช่วงวิกฤติโรคระบาดโควิด-19 ที่ตนเองได้อาสาไปทำงานร่วมกับพี่น้อง อสม.และอสส. ซึ่งในห้องเรียนนั้นมีอาสาสมัครเขตยานนาวาอยู่ด้วยหลายคน จึงต้องขอให้ทุกคนปรบมือให้อาสาสมัครเสื้อกาวน์ทุกคน ที่เสียสละ และยอมเหนื่อยเพื่อช่วยบรรเทาทุกข์ร้อนจากมหันตภัยโรคร้าย จากเหตุกการณ์ดังกล่าว ตนเองเชื่อว่าพี่น้องชาวกรุงเทพฯ ได้เห็นว่า “พรรคภูมิใจไทย พูดแล้วทำ” รวมถึงโครงการรถเมล์ไฟฟ้าที่ออกมาวิ่งแล้ว อันต่อไป ก็คือนโยบายพลังงานสะอาด ลดรายจ่ายประชาชน ฟรีหลังคาโซล่าเซลล์ ลดค่าไฟฟ้า หลังคาเรือนละ 450 บาท และ มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ผ่อน เดือนละ 100 บาท 60 งวด สิ่งเหล่านี้นำเสนอในเวลาที่ทุกคนเดือดร้อนจากค่าไฟฟ้า-ค่าพลังงานที่ขึ้นราคาสูงไปมาก ครูพรีมมี่จึงขอเน้นว่านโยบายที่นำเสนอนั้นจะกลายเป็นจริงได้อย่างแน่นอน ถ้ากาเลือกครูพรีมมี่ เบอร์ 10 และพรรคภูมิใจไทย เบอร์ 7
สุรเชษฐ ศิลานนท์ รายงาน