กสศ. จับมือ หอการค้าไทย และ TDRI ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือขับเคลื่อนการพัฒนาพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา ตอบโจทย์การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำด้วยการร่วมลงทุนใน 19 จังหวัดนำร่อง สู่การขยายผลโครงสร้างการศึกษาระดับประเทศ
วันที่ 21 เมษายน 2566 : กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.),สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) และหอการค้าไทย จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือขับเคลื่อนการพัฒนาพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา ตอบโจทย์การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำด้วยการวิจัยพัฒนานวัตกรรมการศึกษาเพื่อส่งเสริมขีดความสามารถในการระดมทรัพยากรและความร่วมมือของกลไกระดับพื้นที่ เสริมสร้างประสิทธิภาพในการบริหารการจัดการศึกษาเชิงพื้นที่อย่างยั่งยืน
โดยมี ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ประธานกรรมการบริหาร (กสศ.),ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการ (กสศ.),ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธาน TDRI,นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย,นายสราวุฒิ อยู่วิทยา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย ประธานคณะกรรมการพัฒนาการศึกษา และคุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เข้าร่วมพิธี ณ สำนักงานกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา
ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ประธานกรรมการบริหารกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา กล่าวว่า ด้วยความตระหนักถึงความเป็นส่วนหนึ่งของกลไกในการผลักดันแนวทางการขับเคลื่อนและพัฒนาการศึกษาของประเทศให้สอดคล้องกับภูมิเศรษฐกิจโลก และเทคโนโลยียุคใหม่ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว (กสศ.) ได้กำหนดภารกิจสำคัญในการนำแผนกลยุทธ์ (กสศ.) ปี 2565-2567 ไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงระบบที่ยั่งยืน (Sustainable System Change) โดยใช้แนวทางที่ชัดเจนในการพัฒนานโยบายสาธารณะผ่านกระบวนการห่วงโซ่มาตรการเชิงนโยบาย (Policy Value Chain) ซึ่งเริ่มต้นจากการวิจัยพัฒนานวัตกรรมที่สอดคล้องกับปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาที่มีอยู่ในพื้นที่ต่างๆ จนได้รูปแบบและแนวทางการทำงานที่เป็นรูปธรรมก่อนนำไปทดสอบใช้จริงในพื้นที่ จนพบว่าสามารถแก้ปัญหาที่มีอยู่ในพื้นที่ต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตามแม้ นโยบายหรือมาตรการลดความเหลื่อมล้ำต่างๆ ของภาครัฐจะประสบความสำเร็จ แต่ในอนาคตปัญหาต่างๆ ก็อาจจะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รูปแบบและแนวทางการทำงานด้านนี้จึงจำเป็นต้องพัฒนาอยู่ตลอดเวลาจึงจะประสบความสำเร็จในการแก้ปัญหาตามเป้าหมายที่วางไว้ในระยะยาว จึงเป็นที่มาของความร่วมมือระหว่าง 3 หน่วยงาน ได้แก่ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) และหอการค้าไทยเพื่อยกระดับนวัตกรรมการศึกษาเชิงพื้นที่ให้สอดคล้องกับข้อสรุปจากการประชุมนานาชาติเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา All for Education Conference 2022 ที่ (กสศ.) ได้ร่วมกับองค์การ UNESCO และ UNICEF ได้สรุปบทเรียน “7 ตัวเปลี่ยนเกม” 7 Game Changers ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความเปลี่ยนแปลงการปฏิรูปการศึกษาในระดับนานาชาติที่สามารถช่วยให้ประเทศต่างๆ สามารถบรรลุเป้าหมายการศึกษาเพื่อปวงชน (Education for All) ด้วยแนวคิดปวงชนเพื่อการศึกษา (All for Education) ได้แก่
(1)ระบบข้อมูลและสารสนเทศการศึกษา
(2) นวัตกรรมการเงินและการคลังเพื่อการศึกษา
(3) ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน
(4) การส่งเสริมการกระจายอำนาจเพื่อการจัดการการศึกษาเชิงพื้นที่ (Area-Based Education)
(5) การพัฒนาครูและสถานศึกษา
(6) การพัฒนาระบบคุ้มครองทางสังคมในระบบการศึกษา 5 ด้าน ได้แก่ ความมั่นคงทางอาหาร,ความมั่นคงของสถาบันทางครอบครัว,ความพร้อมและความปลอดภัยของสถานศึกษาและครู,ความพร้อมและความปลอดภัยในการเดินทาง และความพร้อมของชุมชนท้องถิ่น
(7) การผลักดันแนวคิด All for Educationให้การศึกษาเป็นกิจของทุกคน
ดร.ประสารฯ กล่าวว่า ความร่วมมือของทั้ง 3 หน่วยงานจะสามารถสร้างกลไกส่งเสริมขีดความสามารถในการระดมทรัพยากรและความร่วมมือของกลไกระดับพื้นที่เพื่อพัฒนานวัตกรรมในการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาในมิติต่างๆ ทั้งโอกาส และคุณภาพการเรียนรู้รวมไปถึงการเสริมสร้างประสิทธิภาพในการบริหารการจัดการศึกษาเชิงพื้นที่อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ยังเชื่อมั่นว่าความร่วมมือที่เกิดขึ้นจะทำให้เห็นนวัตกรรมการการระดมความร่วมมือในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา มากกว่าเพียงแค่การระดมทุนที่เป็นตัวเงินเท่านั้น โดยหวังว่าจะได้เห็นประชาชนจากภาครัฐ ท้องถิ่น เอกชนและภาคประชาสังคมในพื้นที่ได้เข้ามาร่วมกันระดมทุนทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น ทุนข้อมูลความรู้ ทุนทางสังคมและเครือข่ายต่างๆ ฯลฯ ที่จะร่วมทำหน้าที่เป็น “ตัวคูณเชิงระบบ” (System Multiplier) ที่จะกระตุ้นในทรัพยากรและนวัตกรรมที่พัฒนาขึ้นในพื้นที่สามารถส่งผลกระทบเชิงระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
“(กสศ.) หวังจะได้เห็นความร่วมมือที่ริเริ่มโดย 3 หน่วยงานในพื้นที่ 19 จังหวัดเจริญงอกงามไปเป็นโอกาสที่สำคัญของสังคมไทยที่ประชาชนจากทุกภาคส่วนในทั้ง 77 จังหวัดของประเทศไทยสามารถลุกขึ้นมา “กำหนดอนาคต
และโจทย์ปฏิรูปการศึกษา” ของจังหวัดตัวเอง ได้ด้วยตนเองและร่วมกันลงมือทำให้สำเร็จได้จริงด้วยทรัพยากร และความร่วมมือของทุกคนในพื้นที่ได้อย่างยั่งยืนด้วยตัวเองไม่มีใครหวงแหนบ้านเกิดเมืองนอน และลูกหลานของตนรวมทั้งมีความเข้าใจในโอกาสและอุปสรรคของพื้นที่ตนเองได้มากกว่าคนในพื้นที่เอง ดังนั้นหากความร่วมมือในวันนี้จะสามารถจุดประกายให้ประชาชนในทุกจังหวัดของประเทศไทยได้ลุกขึ้นมาเป็น “เจ้าของ” วาระการปฏิรูปการศึกษาของบ้านเกิดตัวเองได้แล้วพวกเราอาจได้เห็นนวัตกรรมการการแก้ไขปัญหาสำคัญในหลายๆ ด้านของการศึกษาไทยที่ประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืนได้ในชั่วชีวิตของเรา” ดร.ประสารฯ กล่าว
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า หอการค้าฯ มีความยินดีอย่างยิ่งในความร่วมมือสนับสนุนการพัฒนาพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา กับสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) และกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เพื่อยกระดับการศึกษาและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ซึ่งหอการค้าฯ มีการแต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาการศึกษา หอการค้าไทย เพื่อสนับสนุนการถ่ายทอดองค์ความรูประสบการณ์ด้านเศรษฐกิจและรูปแบบการดำเนินธุรกิจจากนักธุรกิจผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญพร้อมเปิดโอกาสให้เด็กและเยาวชนในสถานศึกษาเข้าไปเรียนรู้และฝึกประสบการณ์จริงในสถานประกอบการ เพื่อสร้าง “พื้นที่นวัตกรรมการศึกษา” อย่างเป็นรูปธรรม อีกทั้งยังมีกลุ่มผู้ประกอบการรุ่นใหม่ YEC ที่มีความเชี่ยวชาญในการใช้เทคโนโลยี และนวัตกรรมเข้ามามีส่วนร่วมในการเชื่อมโยงการทำงานตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วในปัจจุบัน
นอกจากนี้ภาคเอกชนต้องอาศัยการผลักดันจากรัฐบาลให้มีมาตรการสร้างแรงจูงใจ เช่น สิทธิประโยชน์ด้านภาษี เพื่อให้ภาคธุรกิจเข้ามามีส่วนร่วมในการยกระดับคุณภาพการศึกษาไทยมากขึ้น จนนำไปสู่การลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมในมิติต่างๆ ของประเทศได้ต่อไปในอนาคต
นายสนั่นฯ กล่าวว่า จากการศึกษาของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ชี้ว่า การลงทุนด้านการศึกษา การพัฒนาทุนมนุษย์สร้างผลตอบแทนทางเศรษฐกิจสูงถึง 7 เท่า เมื่อเทียบกับต้นทุนและยังช่วยให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่ประเทศที่มีรายได้สูงในอนาคตจึงขอเชิญชวนภาคธุรกิจเอกชน รวมถึงพลังของเครือข่ายผู้ประกอบการรุ่นใหม่ทุกจังหวัด ร่วมสนับสนุน Education Sandbox Fund ลงทุนพัฒนาพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา เพื่อพัฒนากำลังคนในอนาคตของประเทศให้มีศักยภาพช่วยยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขัน สร้างอนาคตที่เต็มไปด้วยโอกาสและการเติบโตอย่างยั่งยืนของประเทศไทย
ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวว่า แนวคิดสำคัญของพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา คือการหาแนวทางที่เป็นรูปธรรมในการปรับการเรียนรู้ให้ทันกับโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จึงได้มีความพยายามสร้างพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา เกิดขึ้นจากการทำงานร่วมกันระหว่างคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการ ศึกษา (กอปศ.) ร่วมกับ TDRI และหน่วยงานในภาคีเพื่อการศึกษาไทย (TEP) ในการยกร่าง พ.ร.บ.พื้นที่นวัตกรรมการศึกษา พ.ศ.2562 เสนอแก่รัฐบาลซึ่งก็ได้รับการสนับสนุนให้มีการขยายพื้นที่ดำเนินการจากจุดเริ่มต้นใน 8 จังหวัดสู่ 19 จังหวัดในปัจจุบัน และเพิ่มจังหวัดบุรีรัมย์ ขึ้นมาอีกหนึ่งจังหวัด
ดร.สมเกียรติฯ กล่าวอีกว่า พื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจึงเหมือนเป็นสนามปฏิบัติการ (sandbox) ในการปฏิรูปการศึกษาของประเทศเพื่อพัฒนาต้นแบบในการทดลองจัดการศึกษาในรูปแบบใหม่ ตั้งแต่การใช้หลักสูตรใหม่ สื่อการเรียนการสอนแบบใหม่ วิธีการเรียนการสอนแบบใหม่ การทดสอบและประเมินผลแบบใหม่ ตลอดจนการบริหารจัดการแบบใหม่ ในระดับโรงเรียนและเขตการศึกษา เพื่อเพิ่มความเป็นอิสระให้แก่สถานศึกษาและกระจายอำนาจให้แก่จังหวัด โดยมีเอกชนเข้ามามีบทบาทสำคัญในการออกแบบการศึกษา ให้สอดคล้องกับความต้องการในแต่ละพื้นที่ และมีกระบวนการวิจัยติดตามอย่างเป็นระบบเพื่อถอดบทเรียนและขยายผลเพื่อให้นวัตกรรมที่เกิดขึ้นในพื้นที่สามารถนำไปใช้ขยายผลสู่นโยบายการปฏิรูปการศึกษาของประเทศ และเชื่อมั่นว่า กระบวนการทำงานที่เกิดขึ้น จะช่วยสร้างเครื่องมือสำคัญในการช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ในพื้นที่ต่างๆ อย่างสอดคล้องกับการทำงานของ (กสศ.) ในอนาคต
สุรเชษฐ ศิลานนท์ รายงาน