เมื่อวันที่ 29 มี.ค.66 : พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. กล่าวถึงกรณีที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ จะนำเงิน 6 ล้านบาท ที่ระบุว่าได้รับจากสารวัตรซัว พร้อมกับบันทึกคำให้การที่ไปที่มาของเงิน มาส่งมอบให้กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ให้ทำการตรวจยึดไว้เป็นของกลาง เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ ว่า จากข้อมูลที่ปรากฎในข่าว น่าเชื่อได้ว่า เงินจำนวนดังกล่าวที่นายชูวิทย์ฯ จะนำมามอบให้ อาจเป็นเงินที่ได้มาจากการกระทำความผิด ซึ่งตอนนี้ทางกองบังคับการปราบปราม กำลังสอบสวนคดีของสารวัตรซัวฯ อยู่ และก็มีผู้มาแจ้งความให้ตรวจสอบถึงผู้ที่เกี่ยวข้องกับการนำเงินไปมอบให้นายชูวิทย์ฯ ดังนั้น จึงจะมอบหมายให้กองบังคับการปราบปราม เป็นผู้ดำเนินการในการรับเงินมาในรูปแบบของของกลางเพื่อนำไปสืบสวนข้อเท็จจริงต่อ
นอกจากนี้จะทำการสอบปากคำนายชูวิทย์ฯ ด้วย รวมถึงจะต้องเรียกบุคคลที่ปรากฏชื่อว่ามีส่วนเกี่ยวข้องทุกคนมาสอบปากคำ ทั้งพลตำรวจตรี อ.อ่าง พลตำรวจโท ป.ปลา รวมถึงทนายษิทราที่เป็นผู้ออกมาเปิดเผยเรื่องนี้ด้วย เพื่อให้ข้อเท็จจริงปรากฏ ส่วนกรณีที่นายสันธนะฯ ออกมาเปิดเผยว่า เงินจำนวนนี้ไม่ใช่ของสารวัตรซัว ก็ต้องให้สืบสวนก่อนว่าเป็นเงินของใครกันแน่ ส่วนพฤติการณ์ของนายชูวิทย์ฯ ที่มีการรับเงินมานั้น จะเข้าข่ายความผิดฐานฟอกเงินหรือไม่ ก็ต้องรอดูการสอบปากคำนายชูวิทย์ฯ และบุคคลที่เกี่ยวข้องก่อน อย่างไรก็ตาม หากนายชูวิทย์ฯ ไม่นำเงินมามอบให้ ก็อาจต้องเรียกมาตรวจสอบ แต่ตนเชื่อว่า นายชูวิทย์ฯ จะมาตามที่ได้แจ้งไว้ ซึ่งทราบว่าตอนนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการขอรับเงินคืนจากมูลนิธิ ผบ.ตร. กล่าว
พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. กล่าวถึงการเลือกตั้งในเดือนพฤษภาคมที่จะถึงนี้ ซึ่งหลายฝ่ายคาดการณ์ว่าอาจมีการใช้ความรุนแรงขึ้นในพื้นที่ต่างๆว่า ได้สั่งการในที่ประชุมบริหารไปยังพื้นที่ต่างๆทุกกองบัญชาการให้ไปตรวจสอบหาข้อมูลการแข่งขันที่ดุเดือดรุนแรงในพื้นที่ของแต่ละกองบัญชาการแล้ว โดยให้เจาะลึกเป็นรายจังหวัดและรายพื้นที่ย่อย เพื่อนำมาประเมินความเสี่ยงและการจับปลาการเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้มีอิทธิพลและการใช้ความรุนแรงต่างๆที่ผ่านมา นอกจากนี้จะมีการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการเพื่อติดตามความรุนแรงในการเลือกตั้งและการทำผิดกฎหมายต่างๆอย่างใกล้ชิด
ทั้งนี้จากข้อมูลการข่าวในเบื้องต้นเชื่อว่าการเลือกตั้งในครั้งนี้จะไม่รุนแรงเหมือนครั้งที่ผ่านมา แต่น่าจะเป็นการทำผิดกฎหมายเลือกตั้งในข้อหาอื่นๆแทน ซึ่งตนเองได้กำชับไปยังตำรวจทุกหน่วยให้วางตัวให้เป็นกลางและระมัดระวังไม่ให้ไปทำผิดกฎหมายเลือกตั้งซะเอง
ขณะที่มาตรการในห้วงเทศกาลสงกรานต์ เนื่องจากปีนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดเข้าสู่สภาวะปกติ ซึ่งพี่น้องประชาชนก็จะเดินทางกลับภูมิลำเนา เล่นน้ำสงกรานต์ ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระดมสรรพกำลังในการอำนวยความสะดวกพี่น้องประชาชนกลับภูมิลำเนาด้วยความรวดเร็วปลอดภัย ตั้งด่านตรวจต่างๆ ขอความร่วมมือเรื่องการดื่มสุราและขับรถ ในห้วง 7 วันอันตราย ซึ่งเป็นแนวนโยบายของทางรัฐบาลอยู่แล้วที่ต้องการที่จะลดอุบัติเหตุบนท้องถนน เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ
นอกจากนี้อยู่ระหว่างการประชุมมาตรการต่างๆ ทั้งในส่วนของการนั่งกระบะหลัง นั่งได้แต่ไม่เกิน 4 คน และต้องคำนึงถึงความปลอดภัย ไม่ให้ชิดขอบทางขวา รวมทั้งห้ามนั่งท้ายกระบะ และการเล่นน้ำบนรถกระบะในส่วนนี้อยู่ระหว่างการหารือกับส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
สุรเชษฐ ศิลานนท์ รายงาน