แพทยสภาสั่งสอบข่าวฉาวเขมรขายไตรพ.ใหญ่โต้ไม่มีมูล
แพทยสภาเต้น หลังสื่อกัมพูชาเปิดโปงมีการขาย ไตชาวกัมพูชาให้โรงพยาบาลในไทย เร่งตรวจ สอบด่วน
ชี้แพทย์ไม่กล้าเสี่ยงทำเพราะรู้โทษทัณฑ์ดี หากพบเป็นจริงต้องถูกเพิกถอนใบอนุญาต เผยขั้นตอน
การเปลี่ยนถ่ายไตไม่ใช่เรื่องทำกันง่ายๆเตรียมประสานกัมพูชาหาที่มาที่ไปของข่าว
เมืองไทยงามหน้าเรื่อง “ค้าไตมนุษย์” อีกแล้ว หลังจากที่เคยเป็นข่าวโด่งดังเมื่อหลายปีก่อนเรื่อง
การขายไต ทั้งนี้ เรื่องราวการค้าไตมนุษย์ เปิดเผยโดยหนังสือพิมพ์แคมโบเดีย เดลี่ ที่รายงาน
เมื่อวันที่ 3 ก.ค. ว่า ตำรวจกัมพูชาได้จับกุม น.ส.เยม อาซิซาห์ หรือซินวน อายุ 29 ปี และ
นายเนม พาลลา อายุ 40 ปี พ่อเลี้ยง น.ส.เยม นายหน้าลักลอบค้าไตรายใหญ่ ในกรุงพนมเปญ
เมื่อคืนวันที่ 1 ก.ค. ทั้งคู่ ซึ่งเปิดร้านกาแฟบังหน้า รับสารภาพว่า เป็นนายหน้าคอยติดต่อหาซื้อไต
ให้กับผู้ป่วยชาวกัมพูชา ที่รอการเปลี่ยนไตในเมืองไทย โดยนายเนมทำหน้าที่จัดทำเอกสารปลอม
เรื่องการบริจาคไตด้วย
ตำรวจเผยว่า การจับกุมมีขึ้นหลังนายเมาต์ สาธิริน วัย 23 ปี ญาติของ น.ส.เยม เหยื่อ 1 ใน 5 ราย
ที่ถูกชักชวนให้ขายไต ไปแจ้งความกับตำรวจ หลังเดินทางมาผ่าตัดไตที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง
ในกรุงเทพฯ เมื่อ 5 มิ.ย. และได้รู้ความจริงจากคนไข้ หญิงคนหนึ่งที่รอรับไตของเขาในโรงพยาบาลว่า
ได้จ่ายเงินเพื่อซื้อไตถึง 10,000-13,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 3.2-4.16 แสนบาท) แต่
น.ส.เยมหลอกว่าขายไตได้ในราคาเพียง 5,000 ดอลลาร์ ซ้ำยังยึดรถจักรยานยนต์ของตนไว้เป็น
เครื่องประกันและไม่ยอมคืนเมื่อเดินทางกลับบ้าน ขณะที่เหยื่ออีก 2 รายเป็นน้องชายของ น.ส.เยมเอง
อีก 1 รายเป็นเพื่อนบ้าน เหยื่อรายหนึ่งอายุแค่ 15 ปี ซึ่งผู้ต้องสงสัยทั้งคู่ถูกนำตัวไปขึ้นศาลกรุงพนมเปญ
เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาแล้วในวันที่ 3 ก.ค. และมีสิทธิ์ต้องโทษจำคุกถึง 20 ปี
ต่อมา เมื่อวันที่ 4 ก.ค. ศ.นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา กล่าวถึงกรณีข่าวต่างประเทศ ระบุว่า
มีชาวกัมพูชาลักลอบขายไตและส่งมายังโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ในไทยนั้น แพทยสภาติดต่อ
ไปยังโรงพยาบาลดังกล่าว ได้รับการชี้แจงว่าไม่ได้รักษา เปลี่ยนอวัยวะ แต่แพทยสภาจะตรวจสอบ
สืบค้นข้อมูลย้อนหลัง 1 ปี ว่า เคยมีการรักษาเปลี่ยนอวัยวะในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาหรือไม่ ตามปกติ
การเปลี่ยนไตไม่สามารถทำได้ง่ายๆ เนื่องจากผู้บริจาคไตและผู้รับบริจาค ต้องผ่านกระบวนการตรวจเลือด
ตรวจเนื้อเยื่ออวัยวะ เพื่อหาความเข้ากันของอวัยวะ จึงไม่มั่นใจว่า เนื้อหาข่าวต่างประเทศที่อ้างว่าขายไต
มาให้โรงพยาบาลในไทยนั้น มีความเป็นจริงมากน้อยเพียงใด แต่เท่าที่ผ่านมาแพทย์ไทยไม่กล้ากระทำผิด
ในเรื่องนี้ เพราะทราบกฎหมายและบทลงโทษดี
เมื่อถามว่า มีความเป็นไปได้หรือไม่ที่แพทย์ผ่าตัดโดยพลการ หรือมีส่วนรู้เห็นในกระบวนการดังกล่าว
ศ.นพ.สมศักดิ์กล่าวว่า เป็นไปได้ยาก เนื่องจาก การผ่าตัดเปลี่ยนไตเป็นการผ่าตัดใหญ่ ต้องใช้แพทย์
และพยาบาลจำนวนมาก ไม่สามารถทำได้เงียบๆ ปัจจุบันการเปลี่ยนไตทำเพียง 400 ราย แพทย์ที่ให้
การผ่าตัดเปลี่ยนไตมีจำนวนน้อย หากมีการเปลี่ยนไตจริง ก็ต้องมีแพทย์ที่รับทราบเรื่องดังกล่าว
แต่หากแพทย์มีส่วนรู้เห็นจริงก็จะต้องถูกเพิกถอนใบอนุญาตถาวร
ขณะที่ น.ต.นพ.บุญเรือง ไตรเรืองวรรัตน์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า ตามอำนาจของ
กรมสามารถตรวจสอบโรงพยาบาลเอกชนที่ปรากฏในข่าวว่ามีการให้บริการเปลี่ยนถ่ายไตหรือไม่
หากมีจะตรวจสอบประวัติของการเปลี่ยนถ่ายอวัยวะต่อไป ว่ามาจากแหล่งใด ถูกต้องหรือไม่
แพทยสภา จะขึ้นทะเบียนของแพทย์ที่สามารถเปลี่ยนถ่ายอวัยวะได้ ข่าวที่เกิดขึ้นจะประสานความ
ร่วมมือไปยังกัมพูชา ว่ามีความเป็นมาอย่างไร การเปลี่ยนถ่ายอวัยวะมีข้อบังคับ ผู้บริจาคต้องทำ
ลายลักษณ์อักษรว่าจะบริจาคในขณะยังมีชีวิตและผู้บริจาคต้องเป็นญาติพี่น้อง สามีภรรยาเท่านั้น
เว้นผู้บริจาคที่อยู่ในเกณฑ์สมองตายจึงจะบริจาคให้กันได้โดยไม่ใช่ญาติ จากการตรวจสอบย้อนหลังไป
10 ปี ไม่พบว่ามีการจับกุมกรณีการซื้อขายอวัยวะในประเทศไทย แต่พบการเดินทางไปปลูกถ่าย
ในต่างประเทศ ซึ่งเป็นความสมัครใจและไม่ได้อยู่ในขอบเขตที่กฎหมายในประเทศลงโทษ หรือ
เอาผิดอะไรได้ การตรวจสอบข้อมูลสถานพยาบาลที่มีชื่อตามข่าว คงจะทราบรายละเอียดที่ชัดเจน
ภายในสัปดาห์หน้า
ขณะที่นายเคารพ วงศ์ประเสริฐ ผู้จัดการฝ่าย ประชาสัมพันธ์โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า
จากการตรวจสอบรายชื่อที่เปิดเผยในสื่อต่างประเทศ ในส่วนผู้ที่บริจาคไตทั้งสองรายชื่อไม่มี
อยู่ในเวชระเบียนของโรงพยาบาล ทั้งนี้ เรื่องการเปลี่ยนถ่ายไตต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบของ
แพทยสภา ซึ่งเป็นเรื่องสากล