ศาลอุทธรณ์ยืนคำพิพากษาคุก “อดีต ส.จ.ชลบุรี–กก.บริษัทสุวรรณศรีฯ” 4 ปี ปรับบริษัท 8 พัน-ชดใช้เงิน 76 ลบ.คืนนักธุรกิจอินโดฯ ถูกโกงเงินขายน้ำตาล
ที่ห้องพิจารณา809ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันที่ 26ธ.ค.59 เวลา 11.00 น. ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำ อ.3505/2555ที่อัยการฝ่ายคดีอาญา3เป็นโจทก์ และนายบูดี้ ยูโวโน (BUDHI YUWONO) อายุ 64 ปี นักธุรกิจ ชาวอินโดนีเซีย กรรมการผู้มีอำนาจบริษัท พี ที บูมิเรโจ ร่วมกันเป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง บริษัท สุวรรณศรีทรานสปอร์ต จำกัด, นายรุ่งโรจน์ สุวรรณศรี กรรมการผู้มีอำนาจ บจก.สุวรรณศรี ฯ , นายสมศักดิ์ ศักดิ์เกษมชัยกุล , นายสมศักดิ์ เนตรนิมิตร อดีต สจ.ชลบุรี และนายนุกราฮา อัดมาจา อินตัน ปูตรา หรือบอย ล่ามแปลภาษาอินโดนีเซีย เป็นจำเลยที่1- 5 ในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงและร่วมกันปลอม ใช้เอกสารสิทธิปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา264 , 265 , 268และ341พร้อมขอให้จำเลยร่วมกันคืนเงิน76ล้านบาท โจทก์ร่วมด้วย
ตามคำฟ้องโจทก์เมื่อวันที่ 20 ก.ย.55 บรรยายพฤติการณ์ความผิดสรุปว่า ระหว่างวันที่20ม.ค.-18ส.ค.48จำเลยกับพวก ร่วมกันหลอกลวงที่จะขายน้ำตาลทราย37,500ตัน มูลค่า9.65ล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้กับบริษัท พีที บูมิเรโจ จำกัด ของนายบูดี ยูโวโน ชาวอินโดนีเซีย โจทก์ร่วม ซึ่งได้รับสัมปทานจากรัฐบาลอินโดนีเซีย ให้เป็นผู้นำเข้าน้ำตาลทราย โดยพวกจำเลยทำให้บริษัทโจทก์ร่วมหลงเชื่อว่า จำเลยมีน้ำตาลทรายจำนวนมากที่จะขายให้ และตกลงชำระเงินล่วงหน้า76ล้านบาท ให้กับ บริษัท สามเสนไอแมกซ์ จำกัด นอกจากนี้พวกจำเลย ยังได้ร่วมกันปลอมใบตราส่งสินค้าหลายครั้ง ให้แก่บริษัทโจทก์ร่วมว่าจะส่งน้ำตาลทราย จากท่าเรือ จ.ชลบุรี ไปที่ประเทศอินโดนีเซีย ทั้งที่ความจริงจำเลยทั้งหมดไม่มีน้ำตาลทรายและไม่สามารถส่งสินค้าให้กับบริษัทโจทก์ร่วมได้ ซึ่งจำเลยมีเจตนาหลอกลวงบริษัทโจทก์ร่วม ส่งมอบเงิน เพื่อจำเลยจะได้รับผลประโยชน์เป็นของตนเอง โดยจำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ
โดยศาลชั้นต้น มีพิพากษาเมื่อวันที่ 27 มี.ค.58 ให้ลงโทษ จำเลยที่1-4 ฐานฉ้อโกงและใช้เอกสารปลอม โดยให้จำคุกนายรุ่งโรจน์ จำเลยที่2, นายสมศักดิ์ จำเลยที่3และนายสมศักดิ์ จำเลยที่4คนละ 4 ปีฐานใช้เอกสารปลอมซึ่งเป็นบทหนักสุด และปรับ บริษัทศรีสุวรรณ ทรานสปอร์ต จำกัด จำเลยที่ 1 เป็นเงิน 8,000 บาท ส่วนนายนุกราฮา อัดมาจา ล่ามแปลภาษาอินโดนีเซีย จำเลยที่ 5 ให้ยกฟ้องเนื่องจากในการสอบสวนไม่ปรากฏว่ามีเจตนาร่วมใช้เอกสารปลอมและร่วมขบวนการกับจำเลยที่1-4 อีกทั้ง โจทก์ร่วม เบิกความว่าจำเลยที่5มีหน้าที่เป็นเพียงล่ามช่วยประสานงานให้เท่านั้น
ต่อมาจำเลย ยื่นอุทธรณ์ ซึ่งระหว่างอุทธรณ์จำเลยที่ 1-5 ได้รับการปล่อยชั่วคราว
วันนี้ เมื่อถึงเวลานัด จำเลยทั้งห้า เดินทางมาศาลพร้อมทนายความ ขณะที่นายบูดี้ ยูโวโน อายุ64ปี นักธุรกิจชาวอินโดนีเซีย โจทก์ร่วม ก็เดินทางมาฟังคำพิพากษาด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนปรึกษาหารือกันแล้ว เห็นว่า ที่จำเลยอ้างว่า โจทก์ไม่ได้นำสืบว่ามีการเอกสารปลอมให้ชัดเจนเนื่องจากเอกสารใบตราส่งสินค้าเป็นเพียงสำเนาหลักฐานโจทก์จึงไม่สามารถรับฟังได้นั้น ศาลเห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์และโจทก์ร่วมมีความน่าเชื่อถือ โดยโจทก์นำสืบมีน้ำหนักมั่นคงว่าจำเลยที่ 1-4 กระทำผิดฐานใช้เอกสารปลอม โดยขั้นตอนการนำสืบฝ่ายโจทก์สามารถนำพยานหลักฐานเข้าสู่กระบวนการพิจารณาได้ซึ่งศาลจะเป็นผู้ใช้ดุลยพินิจและชั่งน้ำหนัก ความน่าเชื่อถือของพยานหลักฐานเองซึ่งโจทก์และโจทก์ร่วม มีพยานเอกสาร พยานบุคคลแน่นหนา และดำเนินการร้องทุกข์ผ่านเจ้าพนักงานตำรวจ ดังนั้นข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 1-4 จึงเป็นเพียงคำกล่าวอ้างลอยๆ โดยการกระทำผิดของพวกจำเลยมีลักษณะต่อเนื่องกัน อันแสดงเจตนาเดียว โดยมุ่งหมายเพื่อให้ได้เงินจำนวน 76 ล้านบาท จึงเป็นความผิดกรรมเดียว
ส่วนที่โจทก์ อุทธรณ์ว่านายนุกราฮา อัดมาจา ล่ามแปลภาษาอินโดนีเซีย จำเลยที่ 5 ร่วมกระทำผิดฐานใช้เอกสารปลอมนั้น โจทก์และโจทก์ร่วมไม่นำสืบให้เห็นชัดเจนว่า จำเลยที่ 5 มีความสัมพันธ์กับจำเลยอื่น หรือมีการแบ่งหน้าที่ให้จำเลยที่ 5 อย่างไร และได้ผลประโยชน์อย่างไร ซึ่งจำเลยที่ 5 เบิกความยืนยันว่า ไม่ได้เกี่ยวข้องและไม่ได้กระทำผิด อีกทั้งโจทก์ร่วมก็เบิกความว่า จำเลยที่ 5 กระทำหน้าที่เป็นเพียงผู้แนะนำเท่านั้น พยานหลักฐานจึงยังไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่าจำเลยที่ 5 ได้ใช้เอกสารปลอม อุทธรณ์ของโจทก์ ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
โดยคำพิพากษาที่ศาลชั้นต้นลงโทษให้จำคุกจำเลยที่ 2-4 คนละ 4 ปีฐานปลอมเอกสารนั้น เป็นอัตราโทษที่ใกล้เคียงกับโทษสูงสุดที่กำหนดโทษไว้ไม่เกิน 5 ปี จึงเหมาะสมแล้วศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย จึงพิพากษายืน ให้จำคุกจำเลยที่ 2-4 คนละ 4 ปี และปรับ บริษัทจำเลยที่ 1 จำนวน 8,000บาท ส่วนนายนุกราฮา อัดมาจา ล่ามแปลภาษาอินโดนีเซีย จำเลยที่ 5
ภายหลังนายบูดี้ ยูโวโน นักธุรกิจชาวอินโดนีเซีย โจทก์ร่วม กล่าวว่า ขอบคุณกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย ตนรอเวลานี้มากว่า 11 ปี และตนยอมรับว่าการที่ถูกหลอกลวงในครั้งนี้เกิดจากขบวนการที่ใหญ่ ซึ่งทำให้ตนต้องสูญเสียเงินกว่า 76 ล้านบาท โดยตั้งแต่เกิดปัญหาขึ้น ส่งผลให้ถูกขึ้นบัญชีดำจากรัฐบาลอินโดนีเซีย เพราะไม่สามารถนำส่งน้ำตาลตามสัญญาได้ รวมถึงถูกขึ้นบัญชีดำจากธนาคารภายในประเทศทำให้ไม่สามารถดำเนินธุรกรรมทางการเงินใดๆได้ โดยตนต้องการเงินค่าเสียหายนี้คืนมา รวมทั้งต้องการให้จำเลยถูกลงโทษจริง เพราะไม่ใช่เพียงตนที่ถูกพวกจำเลยหลอกลวง แต่ทราบว่ายังมีผู้เสียหายที่ถูกจำเลยหลอกลวงเช่นเดียวกันอีกหลายราย
“ หลังจากศาลมีคำพิพากษาจำคุกพวกจำเลยในวันนี้ จะนำคำตัดสินดังกล่าวไปกอบกู้ชื่อเสียงของตนเองกลับคืนมา ผมไม่ใช่ผู้กระทำผิดแต่เป็นเหยื่อที่ถูกหลอกลวง ส่วนการชดใช้เงินค่าเสียหาย 76 ล้านบาทนั้น ขณะนี้รอแค่ขั้นตอนการบังคับคดีให้ได้เงินกลับคืนมาเท่านั้น ” นายบูดี้ ยูโวโน นักธุรกิจชาวอินโดนีเซีย โจทก์ร่วม ระบุ