การเลือกตั้งกำลังจะมาถึงในปีหน้านี้ นางอองซานซูจี ผู้นำฝ่ายค้านพม่า กำลังเร่งความพยายามที่จะ
เปลี่ยนแปลงแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ห้ามนางจากการทำหน้าที่เป็นประธานาธิบดีและให้อำนาจทาง
การเมืองอย่างมากมายต่อทหารที่เป็นสมาชิกรัฐสภาแต่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง
ซูจีกลายเป็นผู้มีชื่อเสียงระดับโลกหลังได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในปี 2534 จากความพยายามต่อสู้
เรียกร้องประชาธิปไตยและใช้เวลาส่วนใหญ่ในช่วง 2 ทศวรรษต่อมา ภายใต้การควบคุมตัวในบ้านพัก
ที่นางยังคงต่อต้านผู้ปกครองทหารของพม่า
ซูจียังคงได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง แต่ก็ไม่สามารถที่จะเติมเต็มความประสงค์ที่จะทำหน้าที่เป็น
ประธานาธิบดีของประเทศ เนื่องจากมาตราในรัฐธรรมนูญระบุห้ามนางจากการทำหน้าที่ดังกล่าว แต่เวลานี้
ซูจี กล่าวว่าสิ่งสำคัญประการแรกของนางคือการเปลี่ยนแปลงแก้ไขอีกมาตราหนึ่ง ที่ระบุมอบอำนาจ
ทางพฤตินัยให้กับทหารอยู่เหนือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
รัฐธรรมนูญที่ร่างขึ้นภายใต้การปกครองของอดีตรัฐบาลทหาร กำหนดให้ 25% ของที่นั่งทั้งหมด
ในสภาเป็นของทหาร และมากกว่าครึ่งหนึ่งของที่นั่งที่เหลือถูกครอบครองโดยพันธมิตรของทหาร
จากพรรคสหภาพเอกภาพและการพัฒนา (USDP)
มาตรา 436 กำหนดให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นต้องได้รับเสียงสนับสนุน 75% จึงเป็นสิ่งจำเป็น
ที่ต้องได้เสียงสนับสนุนส่วนใหญ่จากพรรค USDP และสมาชิกรัฐสภาที่เป็นทหาร นับเป็นความ
สำเร็จที่ไม่น่าเป็นไปได้สำหรับข้อเสนอที่มีเป้าหมายลดทอนบทบาทของทหารในเวทีการเมือง
“ถ้าเราไม่แก้มาตรา 436 นั่นหมายความว่าทหารมีอำนาจยับยั้งต่อสิ่งที่สามารถหรือไม่สามารถ
เปลี่ยนแปลงได้ในรัฐธรรมนูญ” ซูจี กล่าวกับรอยเตอร์
ซูจีได้รับการสนับสนุนจากแหล่งข่าวที่น่าประหลาดใจ คือ คณะกรรมการรัฐสภาตรวจสอบการ
แก้ไขรัฐธรรมนูญที่สมาชิกส่วนใหญ่มาจากพรรค USDP โดยคณะกรรมการดังกล่าว มีมติให้
เปลี่ยนเสียงส่วนใหญ่ที่ต้องการจาก 75% เป็น 2 ใน 3 ของเสียงทั้งหมด
สิ่งนี้ทำให้พรรค NLD ง่ายชึ้นที่จะผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อไป รวมทั้งกำจัดข้อที่ระบุ
ห้ามบุคคลใดที่มีบุตรหรือคู่สมรสเป็นชาวต่างชาติจากการนั่งตำแหน่งประธานาธิบดี ซึ่ง
นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เชื่อว่ามาตราดังกล่าว ถูกเขียนขึ้นเพื่อพุ่งเป้าไปที่ซูจี เนื่องจากสามี
ของนางและบุตรชาย 2 คน เป็นชาวอังกฤษ
ด้วยการมุ่งไปที่การแก้ไขเสียงส่วนใหญ่ที่ต้องการสำหรับแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทำให้ซูจี
สามารถรณรงค์ต่อประชาชนได้ในวงกว้าง ไม่เช่นนั้นซูจีจะถูกตราว่ารณรงค์เพื่อประโยชน์
ของตัวเองหากมุ่งความสนใจไปที่มาตรการ 59(f) เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
หลังกุมอำนาจนานเกือบครึ่งศตวรรษ ทหารก้าวลงจากอำนาจในปี 2554 หลังการเลือกตั้ง
ในเดือนพ.ย. 2553 รัฐบาลกึ่งพลเรือนของประธานาธิบดีเต็งเส่ง สร้างความประหลาดใจ
ให้กับประชาคมโลกด้วยการปฏิรูปประเทศหลากหลายด้าน รวมทั้งการปล่อยตัวนักโทษ
การเมือง สหรัฐฯ ตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงด้วยการระงับมาตรการคว่ำบาตรส่วนใหญ่
และให้คำมั่นที่จะคลายมาตรการอื่นๆ เพิ่มเติมหากพม่าเพิ่มการปฏิรูป ที่รวมทั้งการถอน
ทหารออกจากการเมือง
พันธมิตรของซูจีในการต่อสู้เรียกร้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยังรวมถึงสมาชิกของกลุ่มรุ่น
88 ที่กำลังทำงานร่วมกับพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) ในคำร้อง
เปลี่ยนแปลงแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่พรรค NLD ระบุว่า สามารถล่ารายชื่อผู้สนับสนุน
ได้แล้วถึง 2.5 ล้านรายชื่อ
คณะกรรมการรัฐสภาที่พิจารณารัฐธรรมนูญมีกำหนดยื่นข้อเสนอของคณะในเดือนก.พ. 2558
หากคณะเสนอแก้ไขมาตรา 436 ที่เป็นการเปลี่ยนแปลงตัวเองก็จะต้องได้รับการสนับสนุน 75%
ของรัฐสภา และจากนั้นจะจัดการลงประชามติทั่วประเทศ ที่ต้องได้มติเห็นชอบอย่างน้อย 50%
ซึ่งจะเป็นความท้าทายอย่างยิ่งซูจี และพันธมิตรที่จะผลักดันให้ผ่านก่อนการเลือกตั้งทั่วไป
ในปลายปี 2558 และภารกิจจะยากยิ่งขึ้นเมื่อพวกเขาต้องแก้ไขมาตราที่ห้ามซูจีขึ้นเป็น
ประธานาธิบดีต่อจากนั้น.