“ศรราม เทพพิทักษ์” พระเอกขวัญใจของประชาชน ที่ถึงวันนี้กลับมาฟีเว่อร์อีกครั้งกับละครเรื่อง “สายโลหิต” ที่นำกลับมาฉายรีรัน ทำให้สาว ๆ ทั้งรุ่นใหญ่ รุ่นเล็ก อยากห่มสไบกลับกรุงศรีอยุธยา แน่นอนฮอตจนทวิตเตอร์ถล่มทลายขนาดนี้
“ศรราม เทพพิทักษ์” พระเอกขวัญใจของประชาชน ที่ถึงวันนี้กลับมาฟีเว่อร์อีกครั้งกับละครเรื่อง “สายโลหิต” ที่นำกลับมาฉายรีรัน ทำให้สาว ๆ ทั้งรุ่นใหญ่ รุ่นเล็ก อยากห่มสไบกลับกรุงศรีอยุธยา แน่นอนฮอตจนทวิตเตอร์ถล่มทลายขนาดนี้ วันนี้เราต้องขอยกพื้นที่ตรงนี้ให้เขาจริง ๆ “หนุ่ม-ศรราม เทพพิทักษ์” พระเอกผู้รักแผ่นดิน และครอบครัว
กระแสละครสายโลหิต ฟีเว่อร์มากตอนนี้หนุ่มรู้สึกอย่างไรบ้าง?
“ก็ขอบคุณแฟน ๆ ทุกคน ที่ให้การตอบรับเป็นอย่างดี ก็เป็นธรรมดาเวลาที่เราทำงานอะไรสักชิ้นหนึ่ง ด้วยความตั้งใจ แล้วคนชื่นชอบก็รู้สึกยินดี จริง ๆ สายโลหิตเวอร์ชั่นถ่ายทำเมื่อปี พ.ศ. 2538 จนตอนนี้ได้กลับมาออนแอร์อีกครั้งหนึ่งผ่านมา 21 ปีแล้ว ซึ่งตอนนั้นเราไม่มีโลกโซเชียลเลยแต่ตอนนี้มีก็ต้องขอบคุณเสียงตอบรับจากทุกคนจริง ๆ ที่ให้ความรักความเมตตา และติดตามผลงานของผม
ต้องบอกว่าละครเรื่องนี้ เป็นบทประพันธ์ของ คุณโสภาค สุวรรณ และตอนนั้นละครเรื่องสายโลหิต เป็นละครที่ทำเพื่อถวายในหลวง รัชกาลที่ 9 ที่ท่านทรงครองราชย์ครบ 50 ปี ซึ่งในตอนนั้น สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ก็ทรงให้จัดทำเป็นเวอร์ชั่นที่มีซับไตเติ้ลเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อที่จะให้ชาวต่างชาติได้รู้ว่าละครรักชาติของคนไทยเป็นมาอย่างไร ถือว่าละครประสบความสำเร็จทุก ๆ ด้าน ที่สำคัญถ้าพูดกันตามตรง ที่คนติดเพราะบทละครดีจริง ๆ มันดูลื่นและสมูท”
หนุ่ม ดูตัวเองแล้วรู้สึกอย่างไร?
“ผมรู้สึกตกใจ เพราะอย่างเพราะวันที่ 14 พ.ย. 59 ที่ผ่านมา วันนั้นพี่หลุยส์ (สยาม สังวริบุตร) เข้าไปประชุมเรื่องละครเทิดพระเกียรติที่ทางช่อง 7 จะทำ ซึ่งวันที่ 13 พ.ย. 59 ก็มีการฟิตติ้งละครสายโลหิตเวอร์ชั่นใหม่ ซึ่งการฟิตติ้งสายโลหิตต้องฟิตติ้ง 2-3 วัน เพราะตัวละครเยอะมาก พอพี่หลุยส์ไปประชุมปุ๊บ ผมก็เห็นในอินสตาแกรมช่อง 7 โพสต์เป็นตัวหนังสือว่า “ชีพนี้พลีเพื่อแผ่นดิน ชีวาต้องมามลาย จะขอป้องปกไว้ ด้วยสายโลหิตของเรา” เร็ว ๆ นี้
ผมก็คิดว่าน่าจะเป็นสายโลหิตของเวอร์ชั่นปัจจุบัน คือผมไม่รู้เพราะถ่ายน้ำเซาะทรายอยู่ แต่พอมาเปิดดูในทวิตเตอร์แรงมากเขาเขียนว่า “ขุนไกร โอปป้ามาแล้ว” หรือ “ติ่งสาวเกาหลี กลับกรุงศรีอยุธยาด่วน” ผมก็ตกใจ ก็มานั่งทบทวนตัวเองว่า ก็คงจะเป็นเพราะสิ่งต่าง ๆ ที่มันเกิดขึ้น อย่างที่บอกว่าเราขี่ม้าจริง ฟันดาบจริง ซึ่งบทแต่ละคน ก็จะมีคำสอนดี ผมก็รู้สึกว่าพอกลับมาดู มันก็น้ำตาคลอตลอด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร คือมันเป็นสิ่งที่ประทับใจ ทั้งฉากรบฉากรัก นักแสดงทุกคนก็แสดงดี ซึ่งทั้งหมดต้องยกความดีให้พี่หลุยส์ (ผู้กำกับ) เพราะพี่เขาละเอียดทุกฉากจริง ๆ”
ขอคุยเรื่องงานอื่นหน่อย ที่ผ่านมา เห็นหนุ่มทำรายการเกี่ยวกับในหลวง ร.9 ด้วย?
“ต้องขอบอกก่อนว่า ผมเปิดบริษัทก่อนหน้านี้ เมื่อสักประมาณ 7 ปีที่แล้ว สาเหตุที่เปิดบริษัท เพราะตอนนั้นเป็นทหารเกณฑ์ ในขณะที่เป็นทหารเกณฑ์ปี พ.ศ. 2543-2545 ช่วงนั้นเราไม่สามารถจะดูโทรทัศน์ได้ สิ่งที่ทำได้ดีที่สุด ก็คืออ่านหนังสือในยามว่าง ประการต่อมา การที่เราเป็นทหารเกณฑ์ เราได้มีโอกาสถวายคำสัตย์ปฏิญาณ ในพิธีสวนสนามในวันเฉลิมพระชนมพรรษาฯ ว่าจะจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และในช่วงนั้น ได้อ่านพระราชดำรัสและพระบรมราโชวาทของพระองค์ท่าน อย่างสม่ำเสมอในขณะที่มีเวลาว่าง ทำให้เรารู้ พระบรมราโชวาท พระราชดำรัสของพระองค์ท่าน ที่เคยพระราชทานเอาไว้ เปรียบเสมือนพจนานุกรมของคนไทย ที่ใช้ดำรงชีวิตได้ ทรงพระราชทานพระราชดำรัสเอาไว้ให้กับ หมอ อย่างหนึ่ง สื่อมวลชน ก็มี, นักกีฬาก็มี เรียกว่ามีให้กับคนไทยทุกอาชีพ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมเปิดบริษัทขึ้นมา ผมตั้งใจจะทำสารคดีเฉลิมพระเกียรติฯ โดยที่เอาจากในหนังสือมาทำให้เป็นเรื่องจริง ผมก็ได้ทำสำเร็จ จนได้สารคดีชุดแรกออกมา ชื่อว่า “ปกฟ้าคู่แผ่นดิน”
ส่วนอีกเรื่องชื่อว่า “ดลใจประชาราษฎร์” ผมทำไว้ 9 ตอน ตอนละ 5 นาที คือการนำ 9 บุคคลที่มีในหลวงเป็นแรงบันดาลใจมานำเสนอ และสารคดีชุดที่ 3 ชื่อว่า “สายธารแห่งพระกรุณา” และสารคดีชุดสุดท้าย ที่ผมภูมิใจที่สุดคือชุด “ราชสกุลมหิดล” โดยนำเสนอว่าครอบครัวเล็ก ๆ ครอบครัวมหิดล ที่ทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติมากเหลือเกิน”
นี่คือสิ่งที่เราเลือกที่จะทำออกมา?
“ที่ผมเล่ามาทั้งหมด เพื่อตอบคำถามว่า เมื่อวันที่ 13 ต.ค. ที่ผ่านมาเกิดขึ้น ผมร้องไห้ไม่หยุดเมื่อฟังประกาศ แต่เมื่อผมฟังเสร็จ ผมร้องไห้เสร็จแล้ว ผมจบตรงที่ผมทำครบแล้ว ให้กับพระองค์ท่าน สมมุติว่าถ้าวันหนึ่งเราไม่ดูแลพ่อแม่เรา เราไม่เคยซื้อข้าวไปให้เขากิน ไม่พาเขาไปทานข้าว ให้เวลากับเขา วันนึงเขาจากเราไปแล้ว เราจะมาเสียใจว่าเราไม่มีโอกาส ทำไมเราไม่ทำวันนั้น ทำไมไม่ทำวันนี้
แต่สำหรับผมวันนี้เราทำครบแล้ว เราทำก่อนทุกคนเลย ก่อนที่พระองค์ท่านสวรรคต คนอื่นเพิ่งมาทำละครเทิดพระเกียรติฯ ผมเล่นละครเทิดพระเกียรติฯ มากี่เรื่องแล้ว เล่นเกือบทุกเรื่องทุกปี ผมทำครบแล้ว เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมทำก็คือผมจะต้องนำคำสั่งสอนของพระองค์ท่านมาใช้ในชีวิต ให้เกิดประโยชน์แล้วต้องบอกให้คนอื่นที่เขาไม่มีความรู้ได้รับทราบเรื่องนี้ด้วย และสามารถที่จะดำรงตนและพัฒนาตัวเองได้ นี่คือสิ่งที่ผมรู้สึกครับ”
ต่อจากนี้จะทำอะไรอีกไหม?
“ไม่แล้วครับ เวลาที่เราทำสารคดีเฉลิมพระเกียรติฯ ถ่ายละครเฉลิมพระเกียรติฯ เขาไม่ขึ้นเครดิตให้ว่าใครทำ เพราะฉะนั้นผมปิดทองหลังพระมาตั้งแต่ตัวเองเล็ก ๆ แล้ว ทำด้วยความจงรักภักดีอยู่เงียบ ๆ ไม่ต้องให้คนอื่นรู้ ไม่ต้องไปประกาศที่ไหน เราทำไปเรื่อย ๆ เดี๋ยววันนึงมันก็จะเต็มออกมาหน้าพระเอง”
จริง ๆ หนุ่มเป็นไอดอลของนักแสดงรุ่นหลัง ๆ ที่ตอนนี้ยังเป็นพระเอกอยู่?
“ผมคิดแบบนี้ว่าไม่มีใครลบพระเอกในใจของใครได้ คนที่เขารักสมบัติ เมทะนี เขาก็ยังรักสมบัติ เมทะนี อยู่ เพียงแต่ว่าเขาไม่มาแสดงตัว คนที่เขารัก สรพงษ์ ชาตรี ก็ยังมีอยู่ คนที่รักผมก็ยังมีอยู่ ก็ต้องถือว่าเป็นโชคดีและต้องขอบคุณจริง ๆ เป็นพระคุณกับผม หรือแม้กระทั่งคนที่เคยร่วมงานกับคุณพ่อ ก็ยังให้โอกาสผมทำงานขอบคุณมากครับ”
หนุ่ม มีมาตรฐานรับงานยังไง?
“หนึ่งจะต้องมาทบทวนตัวเองก่อนว่าเรามีเวลาให้เขาเต็มที่ไหม ข้อสองคือ เรามีความสามารถเพียงพอไหม ที่เราจะถ่ายทอดบทประพันธ์ให้ออกมาดีที่สุดได้ นอกนั้นก็จะมีเรื่องตรงต่อเวลา ผมว่ามันเป็นคุณสมบัติของการเป็นนักแสดงที่ดี จริง ๆ การเป็นนักแสดงที่ดี ไม่แตกต่างจากอาชีพอื่น ๆ เลย ต้องให้เกียรติเพื่อนร่วมงาน ทำงานซื่อสัตย์ รักงานที่ทำ ทุ่มเทกับงานอย่างเต็มที่ซึ่งทุกคนสามารถทำตามได้หมดครับ”.