จักรภพ เพ็ญแข ออกแถลงการณ์โต้ คสช. หลังถูกออกหมายจับเพราะเกี่ยวข้องกับอาวุธสงคราม
ท้าโชว์หลักฐานออกมา เผย เพิกถอนพาสปอร์ตแสดงให้เห็นถึง คสช. ไม่ต่างจากกลุ่มทรราช
จากกรณีที่ศาลทหารอนุมัติออกหมายจับ นายจักรภพ เพ็ญแข ผู้ต้องหาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
กับพวกรวม 4 คน ในข้อหามีอาวุธสงครามไว้ในครอบครองนั้น
วันนี้ (29 มิถุนายน 2557) นายจักรภพ เพ็ญแข ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก เรื่อง “แถลงการณ์
ตอบโต้ข้อกล่าวหาเรื่องอาวุธสงครามและการเพิกถอนหนังสือเดินทาง” โดยระบุว่า ข้อกล่าวหานี้
เผยให้เห็นความจนตรอกของเหล่านายทหารและกลุ่มอำมาตย์ที่กล่าวอ้างว่าตนอยู่เบื้องหลังกลุ่ม
ติดอาวุธ ซึ่งตนยืนยันว่าไม่มีหลักฐานใดที่เชื่อมโยงว่าตนเกี่ยวข้องกับอาวุธสงครามอย่างแน่นอน
จึงขอท้าให้ฝ่ายทหารแสดงหลักฐานออกมา
ส่วนการเพิกถอนหนังสือเดินทางนั้น นายจักรภพ มองว่า เป็นเพียงการกระทำกดขี่ และยังทำให้
ประชาชนคนไทยที่ต่อต้านการปกครองระบอบทหารกลายเป็นผู้ลี้ภัยทางการเมือง ซึ่งการเพิกถอน
ดังกล่าวจะประจานให้ประชาคมโลกเห็นว่า คณะเผด็จการทหารไทยไม่ต่างไปจากกลุ่มทรราช
ผู้เกรี้ยวกราดที่ทำประพฤติตนนอกมาตรฐานกฎหมายระหว่างประเทศ
สำหรับข้อความทั้งหมดมีดังนี้
แถลงการณ์ตอบโต้ข้อกล่าวหาเรื่องอาวุธสงครามและการเพิกถอนหนังสือเดินทาง
วันเสาร์ที่ ๒๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๗
“ข้อกล่าวหาที่คณะรัฐประหารเถื่อนไทยใช้กดดันผมในวันนี้ เผยให้เห็นความจนตรอกของเหล่า
นายทหารและกลุ่มอำมาตย์ที่พวกเขาทำงานรับใช้อีกครั้ง การกล่าวอ้างอันเป็นเท็จประเภทที่ว่า
ผมอยู่เบื้องหลัง “กลุ่มติดอาวุธ” ไม่ใช่เป็นเพียงแค่นิยายเท่านั้น แต่เป็นอีกหนึ่งตัวอย่าง
ของความโข่เขลาของคณะเผด็จการทหารลวงโลก
ผมขอพูดอย่างชัดเจนว่า ไม่มีหลักฐานใดที่สามารถเชื่อมโยงผมกับอาวุธที่คณะเผด็จการทหาร
ยึดมาได้ และผมขอท้าทายให้พวกเขาแสดงหลักฐานเหล่านั้น แน่นอนว่า แม้แต่การยึดอาวุธ
เหล่านั้นก็มีกลิ่นของความน่าสงสัยโชยออกมา เพราะไม่มีการสอบสวนที่เป็นอิสระเรื่องการยึด
อาวุธ ไม่มีการเก็บลำดับขั้นตอนหลักฐาน และข้อกล่าวหาที่คณะเผด็จการทหารหยิบยกขึ้นมานั้น
ไม่มีความน่าเชื่อถือ และสามารถถูกหลักล้างได้อย่างง่ายดายหากถูกตรวจสอบอย่างละเอียด
กรณีที่คณะเผด็จการทหารพยายามจะ “ทำเรื่องส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน” ผมในข้อหาดังกล่าว
พวกเขาเองควรจะต้องรับรู้ว่าไม่มีรัฐบาลไหนในโลกใบนี้ที่จะเชื่อฟังยอมจำนนต่อคำข่มขู่
ของพวกเขา เพราะผมจะได้รับสิทธิในการเข้าถึงหลักฐานทั้งหมดที่พวกเขาสร้างขึ้นมา
รวมถึงพื้นที่ในการท้าทายหลักฐานเหล่านั้น
และนี้คือเหตุผลที่กลไก “ตุลาการ” เดียวที่พวกเขานำมาใช้คือการเร่งรัดดำเนินคดีด้วยข้อหา
เท็จโดยการใช้ “ศาล” ทหารของพวกเขา ที่ซึ่งกระบวนการอันควรแห่งกฎหมายและหลัก
นิติธรรมได้ถูกทำลายลงไปนานแล้วเพื่อรองรับระบอบการปกครองเผด็จการ ดังนั้นจึงสามารถ
กล่าวได้ว่าคดีความทั้งหมดที่นำขึ้นสู่ “ศาล” ทหารเกิดขึ้นในบริบทของรูปแบบระบบกฎหมาย
ที่ไม่ต่างไปจากละครเวทีอันน่าขัน โดยปราศจากสิทธิทางกฎหมาย
และเพื่อเป็นหลักฐาน ผมขอแถลงว่าผมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆทั้งสิ้นในการต่อสู้แบบ “ติดอาวุธ”
ผมเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ในการต่อสู้ทางการเมือง สังคมและวัฒนธรรมโดยมีฐานมั่นที่เป็นจริง
ผ่านทางเจตนารมณ์ทางประชาธิปไตยของประชาชนไทย กลุ่มนายทหารและกลุ่มอำมาตย์
ที่พวกเขาทำงานรับใช้ทราบอย่างดีว่าหากปล่อยให้ประชาชนไทยแสดงออกซึ่งเจตจำนงค์
ประชาธิปไตยแล้ว อำนาจของพวกเขาจะสิ้นสุดลง และนำไปสู่การฟื้นฟูระบอบที่ชอบด้วย
กฎหมายและหลักการรับผิดของเจ้าหน้าที่รัฐ
ในเวลานี้ กองทัพและกลุ่มอำมาตย์ที่พวกเขาทำงานรับใช้คือคนกลุ่มเดียวที่มีส่วนเกี่ยวข้อง
กับการต่อต้านเจตจำนงค์ของประชาชนไทยด้วยการใช้ “อาวุธ” โดยมิชอบด้วยกฎหมาย
ผู้ที่เชื่อมั่นในประชาธิปไตยไม่จำเป็นต้องใช้อาวุธ เพราะเรามั่นใจอย่างแท้จริงว่า
เมื่อประชาชนไทยได้รับสิทธิ์ในการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งกลับคืนมา คณะเผด็จการทหาร
จะกลายเป็นเพียงแค่ความผิดเพี้ยนทางประวัติศาสตร์เท่านั้น
ผมขอกล่าวเพิ่มเติมถึงเรื่องที่คณะเผด็จการทหารเพิกถอนหนังสือเดินทางของผมว่า นี่มิใช่
เป็นเพียงการกระทำกดขี่อันวิตถารเท่านั้น แต่ยังทำให้ประชาชนคนไทยที่ต่อต้านการปกครอง
ระบอบทหารกลายเป็นผู้ลี้ภัยทางการเมือง การเพิกถอนดังกล่าวจะประจานให้ประชาคมโลก
เห็นว่า คณะเผด็จการทหารไทยไม่ต่างไปจากกลุ่มทรราชผู้เกรี้ยวกราดที่ทำประพฤติตน
นอกมาตรฐานกฎหมายระหว่างประเทศ
จักรภพ เพ็ญแข”