01ธ.ค.59 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้อ่านประกาศว่า รัฐบาลขอประกาศให้ประชาชนชาวไทย ทั้งที่อยู่ในราชอาณาจักร และในต่างประเทศทั่วโลก ทราบทั่วกันว่า บัดนี้ประเทศไทย มีสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์ใหม่แล้ว ตามคำกราบบังคมทูล อัญเชิญขึ้นทรงราชย์ ของประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทำหน้าที่ประธานรัฐสภา ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต โดยมีผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ นายกรัฐมนตรี และประธานศาลฎีกา ร่วมเป็นสักขีในพิธีประวัติศาสตร์นี้ และทรงพระกรุณารับคำกราบบังคมทูลอัญเชิญ ดังที่ต่อมาได้มีประกาศสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อแจ้งประชาชนแล้ว การดำเนินการดังกล่าว เป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย กฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ และโบราณราชประเพณี ทุกประการ ทั้งสนองพระราชดำริสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ที่พระราชทานไว้ ตั้งแต่แรกว่า ในระหว่างที่พระองค์เอง และประชาชนกำลังทุกข์โศกอย่างใหญ่หลวงจากการเสด็จสวรรคต ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ยังไม่ควรดำเนินการเรื่องการสืบราชสมบัติ ทันทีในขณะนั้น หากแต่ควรรอจนการบำเพ็ญพระราชกุศล และการเปิดโอกาส ให้ประชาชนได้เข้าไปถวายบังคม พระบรมศพ ผ่านพ้นไปสักระยะหนึ่ง ซึ่งบัดนี้ ถึงเวลาการบำเพ็ญพระราชกุศล ปัญญาสมวาร คือครบ 50 วัน และประชาชนได้มีโอกาสเข้าถวายบังคมพระบรมศพแล้วนับล้านคน จึงขอพระราชทานพระราชานุญาต ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
อนึ่ง เพื่อให้เป็นไปตามโบราณราชประเพณี โดยไม่ขัดต่อกฎหมาย ทั้งยังสอดคล้องกับคตินิยม ในนานาประเทศที่ว่า ราชอาณาจักรย่อมไม่ว่างเว้น ขาดตอนจากการมีพระมหากษัตริย์ ดังนั้นการเริ่มรัชกาลใหม่ จึงมีผลต่อเนื่อง ตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคม พุทธศักราช 2559 เป็นต้นไป ณ บัดนี้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร ที่ทรงสถิตอยู่ในพระราชสถานะองค์พระรัชทายาท มาตั้งแต่พุทธศักราช 2515 นับเป็นเวลาถึง 44 ปี จึงทรงเป็นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 10 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ และทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจตามรัฐธรรมนูญทุกประการ ส่วนการจะดำเนินการต่อไป เพื่อให้เป็นไปตามราชขัตติยประเพณี ที่เรียกว่า พระราชพิธีบรมราชาภิเษก นั้น ย่อมขึ้นอยู่กับพระราชวินิจฉัย ซึ่งมีพระราชดำริแล้วว่า ควรดำเนินการเมื่อเสร็จสิ้น การพระราชพิธี ถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ แล้ว
ทั้งนี้ด้วยศาสตร์พระราชา เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน หรือแนวทางที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุยเดช รัชกาลที่ 9 ผู้ทรงเป็นสมเด็จพระบรมชนกนาถ ได้ทรงวางไว้แล้วตลอดเวลา 70 ปี จะเป็นรากฐานอันแข็งแกร่ง เมื่อประกอบเข้ากับความศรัทธา เชื่อมั่น และสัตยาธิษฐานที่มหาชนชาวสยาม พร้อมใจกันเปล่งวาจา มาตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคม 2559 และมากล่าวย้ำพร้อมกัน อย่างเป็นทางการอีกครั้ง เมื่อเช้าวันที่ 22 พฤศจิกายน 2559 ว่าจะทำดีเพื่อพ่อ จะจดจำคำของพ่อ จะขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป จะสืบสานพระบรมราชปณิธาน คิดดี พูดดี ทำดี ซื่อสัตย์สุจริต รู้รักสามัคคี และจะอยู่อย่างพอเพียง รัฐบาลเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นดุจปราการอันมั่นคง บนพื้นฐานอันแข็งแกร่งประการสำคัญคือ ด้วยพระบรมเดชานุภาพ ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ใหม่ ทุกอย่างจะดำเนินไปได้ด้วยดี ท่ามกลางความเพียรอันบริสุทธิ์ ของเราทั้งหลาย
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใหม่ ทรงเป็นพระรัชทายาทที่ได้รับไว้วางพระราชหฤทัย จากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมสถาปนา และได้มีโอกาสเสด็จพระราชดำเนิน ไปทรงงานในที่ต่างๆ มากว่า 44 ปี บัดนี้ทรงเป็นพระประมุข เป็นศูนย์รวมใจไทยทั้งชาติ สืบสนองพระองค์ สมเด็จพระบรมชนกนาถ ทรงเจริญรอยพระยุคลบาท ของสมเด็จ พระบรมราชบุพการี ทั้งสองพระองค์คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ที่ได้ทรงกระทำบำเพ็ญมา
แล้วอย่างบริสุทธิ์บริบูรณ์ ดังนั้น แม้เราต่างก็รู้ว่าการพลัดพรากจากสิ่งที่รัก และเคารพย่อมเป็นทุกข์ แม้การสูญเสีย ความวิปโยค จะเป็นวิกฤตที่ไม่อาจปฏิเสธได้ แต่เราทั้งหลายควรใช้วิกฤตนี้ให้เป็นโอกาส แปลงความทุกข์โศกให้เป็นพลังของแผ่นดิน พลังที่แม้จะไม่มีพระผู้เป็นพลังของแผ่นดินทางพระรูปกายอยู่คุ้มเกล้าคุ้มกระหม่อม แต่พลังของแผ่นดิน ยังจะมีอยู่ต่อไปด้วยพลังแห่งความศรัทธาเชื่อมั่นในพระบรมราชปณิธาน และศาสตร์พระราชาของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยมีสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใหม่ พระบรมราชปิโยรสเป็นผู้นำแทนพระองค์
อย่างไรก็ตาม ขอให้เราทุกคนจงร่วมการตั้งจิตอธิษฐาน ขอพระบรมเดชานุภาพแห่งสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้า มีพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุยเดช พระปิยมหากษัตริย์นักพัฒนา เป็นอาทิ ได้โปรดอภิบาลรักษาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใหม่ ให้ทรงพระเจริญ สถิตเป็นมิ่งขวัญปกเกล้าปกกระหม่อมอาณาประชาราษฎรชาวไทย และประเทศไทย ให้สามารถพัฒนาจนประสบความสำเร็จ บังเกิดความเจริญรุ่งเรือง มีสันติสุข และความสามัคคีปรองดอง สมดังพระราชปณิธานปรารถนา ภายใต้การปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตราบกาลนานเทอญ