วันที่ 5 พ.ย.65 เวลา 14.00 น. พล.ต.ท.สุคุณ พรหมายน ผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ได้มอบหมายให้ พล.ต.ต.อภิชาติ สุริบุญญา โฆษกกองบัญชาการฯ แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนว่า ระหว่างวันที่ 2-4 พ.ย.65 ที่ผ่านมา กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวได้ส่งตนร่วมคณะผู้แทนของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาซึ่งนำคณะโดย นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เข้าร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีว่าด้วยการท่องเที่ยวภายใต้กรอบการประชุมยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ อิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง หรือ Ayeyawady-Chao Phraya-Mekong Economic Cooperation Strategy : ACMECS ครั้งที่ 5 ณ เมืองเสียมราฐ ประเทศกัมพูชา
พล.ต.ต.อภิชาติฯ อธิบายว่า การประชุม ACMECS เป็นกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจในระดับอนุภูมิภาคอาเซียนที่จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมการพัฒนาอย่างสมดุล ลดช่องว่างทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศไทย กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม
การประชุมนี้ ประเทศไทยเคยเป็นเจ้าภาพในปี พ.ศ.2561 ซึ่งในการประชุมครั้งนั้น ผู้นำ 5 ประเทศได้รับรองให้มีแผนแม่บทระยะ 5 ปี (2562-2566) ขึ้น โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างความเชื่อมโยงแบบไร้รอยต่อในอนุภูมิภาค,ปรับปรุงกฎระเบียบกติกาด้านการค้าและการลงทุนให้สอดคล้องกัน และพัฒนาอนุภูมิภาคนี้ให้ยั่งยืนบนพื้นฐานของนวัตกรรม ซึ่งแน่นอน เป้าหมาย 3 ประการที่กล่าวไปนี้นั้น ย่อมรวมไปถึงการท่องเที่ยวด้วย และเพื่อให้เป้าหมายด้านการท่องเที่ยวบรรลุผลตามแผนแม่บทที่ตั้งไว้ การประชุมระดับรัฐมนตรีการท่องเที่ยวจึงถูกจัดให้มีขึ้นเพื่อนำแผนแม่บท 5 ปีดังกล่าว มาพิจารณาอย่างละเอียด และกำหนดเป็นแผนปฏิบัติการเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติที่เกิดผลเป็นรูปธรรม
ในการประชุมรัฐมนตรีการท่องเที่ยวครั้งนี้ ที่ประชุมได้ออกแถลงการณ์ร่วมยืนยันถึงการฟื้นฟูความเชื่อมั่นการท่องเที่ยวที่ทรุดตัวลงไปจากสถานการณ์โควิด-19 ให้ฟื้นกลับคืนมาโดยเร็ว โดยการฟื้นฟูที่ว่านี้จะมุ่งเน้นไปที่ 3 keywords ด้วยกัน กล่าวคือ เน้นการท่องเที่ยวเชิงยั่งยืน (sustainable tourism), ต้องมีการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆมาใช้ (innovation) และต้องนำเทคโนโลยีเข้ามาเสริมประสิทธิภาพการท่องเที่ยว (digitalisation)
ซึ่งการจะนำ 3 keywords นี้ไปสู่ความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมได้นั้น ที่ประชุมเห็นร่วมกันว่า จะต้องอยู่บนแผนปฏิบัติการ 5 ปี (2566-2570) โดยมีรายละเอียดคร่าวๆ ดังนี้
1.ต้องส่งเสริมการตลาดอย่างมีประสิทธิภาพบนแนวคิด “5 ประเทศ – 1 ที่หมาย” (Five Countries,1 Destination) โดยประเด็นนี้ ประเทศไทยได้รับมอบหมายให้เป็นผู้รับผิดชอบหลัก
2.ส่งเสริมให้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นแบบเชื่อมโยง 5 ประเทศ ประเด็นนี้ ประเทศเวียดนามได้รับมอบหมายให้เป็นผู้รับผิดชอบหลัก
3.ส่งเสริมให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลการท่องเที่ยว ประเทศเมียนมาจะรับผิดชอบในหัวข้อนี้
4.ส่งเสริมให้มีการพัฒนาบุคลากรและการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านการท่องเที่ยวซึ่งกันและกัน ประเทศกัมพูชาจะเข้ามาดูแลในประเด็นนี้
5.ส่งเสริมให้มีความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรระหว่างประเทศเพื่อให้เพิ่มบทบาทของชุมชนท้องถิ่นให้มากขึ้น ในส่วนนี้ประเทศลาวจะเป็นผู้รับผิดชอบ และ
6.จะต้องจัดให้มีหน่วยงานประสานงานกลางขึ้นเพื่อประสานการปฏิบัติระหว่าง 5 ประเทศ ซึ่งกัมพูชาจะไปพิจารณาในส่วนนี้
อย่างไรก็ตาม พล.ต.ต.อภิชาติฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ประชุมยอมรับว่า ความปลอดภัยด้านการท่องเที่ยวนั้นคือปัจจัยสำคัญอย่างย่ิงที่จะต้องทำให้เกิดขึ้นในทุกที่และทุกเวลา ซึ่งตำรวจท่องเที่ยวได้ส่งรายละเอียดแผนปฏิบัติในการรักษาความปลอดภัยนักท่องเที่ยวในปีงบประมาณ 2566 อันได้แก่ การสร้างศูนย์ปฏิบัติการดูแลนักท่องเที่ยวและบูรณาการข้อมูลการท่องเที่ยวแบบ real time กับ การจะจัดให้มีแอพพลิเคชั่นสำหรับให้นักท่องเที่ยวดาวน์โหลดเพื่อติดต่อกับตำรวจท่องเที่ยวได้ตลอดเวลา รวมไปถึงความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาเพื่อทำให้กล้อง CCTV มีความสามารถและใช้ร่วมกันได้มากขึ้นแม้จะต่างยี่ห้อกัน ซึ่งซอฟท์แวร์ที่จะนำใช้ควบคุมนั้นจะเป็นปัญญาประดิษฐ์ที่จะทำให้กล้องมีประสิทธิภาพมากล้องธรรมดา ให้ที่ประชุมได้รับทราบ ซึ่งได้รับความสนใจจากที่ประชุมเป็นอย่างย่ิง ซึ่งเชื่อว่า ผลการประชุมดังกล่าวทั้งหมดนี้ จะถูกนำเสนอในการประชุมระดับผู้นำ ACMECS ในครั้งต่อไปอย่างแน่นอน
พล.ต.ต.อภิชาติฯ กล่าวเสริมอีกว่า จากการประชุมครั้งนี้ เป็นที่ยอมรับอย่างไม่มีข้อปฏิเสธได้แล้วว่า การท่องเที่ยวคือปัจจัยสำคัญอย่างย่ิงในการสร้างรายได้ให้กับทุกประเทศในช่วงที่เศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มเดินไปข้างหน้าแบบช้าๆ อันเนื่องมาจากปัญหาเงินเฟ้อและสถานการณ์ความขัดแย้งในต่างประเทศ จึงนับว่าเป็นความโชคดีของประเทศไทยมากที่มีภูมิประเทศที่มีความหลากหลายสวยงาม ปลอดภัยจากภัยธรรมชาติ มีวัฒนธรรมที่น่าสนใจและมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง มีอาหารการกินที่อร่อย และมีประชาชนที่น่ารักและเปิดกว้างต่อคนต่างชาติ ทั้งหมดนี้กลายเป็น soft power ที่มีประสิทธิภาพ ยากยิ่งที่ประเทศอื่นจะมีได้ นอกจากนี้ การประชุมครั้งนี้ยังทำให้เห็นมิติการท่องเที่ยวที่ขยายตัวกว้างมากขึ้น ร่วมมือกันมากขึ้น ไม่ได้คิดหรือติดกรอบอยู่แค่เพียงประเทศใครประเทศมันอีกต่อไป แต่กลับมีความร่วมมือกันและสร้างประโยชน์ร่วมกัน
จึงอยากถือโอกาสนี้ ขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนทุกท่านว่า ขอจงมีความภาคภูมิใจในประเทศของเราที่บรรพบุรุษได้สรรค์สร้างและรักษาไว้ให้คนรุ่นเราได้ใช้ประโยชน์จากธรรมชาติและวัฒนธรรมมาจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งหน้าที่ของเราทุกคนก็ต้องช่วยกันสรรค์สร้างและรักษาสิ่งดีๆ เหล่านี้ไว้เพื่อให้คนรุ่นหลังของเราได้ใช้ประโยชน์เหมือนกับที่เราได้ใช้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้ได้ต่อไป
ตำรวจท่องเที่ยวพร้อมเสมอที่จะนำแผนการปฏิบัติการ 5 ปีที่เกิดขึ้นจากการประชุมครั้งนี้มาปฏิบัติให้เกิดผลเป็นรูปธรรมเพื่อส่งเสริมให้การท่องเที่ยวไทยให้มีประสิทธิและมีความสามารถในการแข่งขัน เป็น top of mind ของโลกอย่างต่อเนื่องต่อไป และในโอกาสที่ใกล้เวลาประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก หรือ เอเปค ก็ขอความร่วมมืออีกครั้งหนึ่งจากพลังของคนไทยทุกคนแสดงให้ผู้นำเขตเศรษฐกิจและเจ้าหน้าที่ต่างประเทศที่เดินทางเข้ามาร่วมประชุมครั้งนี้เห็นเลยว่า คนไทยนั้น เมื่อเป็นเจ้าภาพในเรื่องใดแล้ว ก็ไม่แพ้ใครในโลกเหมือนกัน โดยขอให้ร่วมกันเป็นเจ้าภาพที่ดีในจัดการประชุมระดับโลกนี้ และที่สำคัญอย่างยิ่ง ร่วมมือกันเพื่อแสดงให้เห็นว่า การท่องเที่ยวไทยได้พลิกโฉมใหม่แล้วหลังสถานการณ์โควิด โดยพร้อมแล้วที่จะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของโลก
พล.ต.ต.อภิชาติฯ กล่าวทิ้งท้ายว่า ตนเชื่อในพลังของคนไทยทุกคนที่จะทำให้ความสำเร็จเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน
สุรเชษฐ ศิลานนท์ รายงาน