จอม เพชรประดับ เขียนจดหมายเปิดผนึก ประกาศยุติบทบาทสื่อในไทย จนกว่าจะได้เสรีภาพกลับคืน
และประเทศไทยกลับมาปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงอีกครั้ง
เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2557 สำนักข่าวอิศรา รายงานว่า นายจอม เพชรประดับ ผู้ดำเนินรายการข่าว
ได้ประกาศยุติบทบาทการทำหน้าที่สื่อมวลชนในประเทศไทยแล้ว โดยได้เขียนจดหมายเปิดผนึก
ถึงการตัดสินใจดังกล่าว ก่อนปรากฏตัวสัมภาษณ์พิเศษ นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ
เลขาธิการองค์กรเสรีไทย เมื่อวันที่ 25 มิถุนายนที่ผ่านมา
ทั้งนี้ เนื้อหาในจดหมายระบุว่า การรัฐประหารเกิดขึ้นเพื่อรักษาอำนาจและผลประโยชน์ของตัวเอง
ไว้ให้นานที่สุดเท่านั้น ไม่ได้หวังที่จะปฎิรูปประเทศให้คนไทย ขณะที่สื่อมวลชนกับสยบยอมต่อการ
ทำลายจิตวิญญาณแห่งวิชาชีพของตนเอง ตนจึงไม่สามารถทนอยู่ในฐานะนักสื่อสารมวลชน
ที่ทำตัวเหมือนคนโกหกหลอกลวงตัวเอง และหลอกลวงคืนอื่นต่อไปได้
ดังนั้น นายจอม จึงขอยุติบทบาทการทำหน้าที่สื่อสารมวลชนในประเทศไทย ที่ทำมาตลอด 30 ปี
จนกว่าคนไทยทั้่งประเทศจะได้รับสิทธิเสรีภาพกลับคืนมา และจนกว่าประเทศไทย
จะกลับมาปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงอีกครั้ง
ดังข้อความต่อไปนี้
“@ จดหมาย จาก จอม เพชรประดับ……ณ สถานที่อันเงียบเหงา
เดือนกว่าของการทำรัฐประหาร เป็นความสว่างในตวงตา ที่กลับมาเห็นความจริง
ของประเทศไทยอย่างเด่นชัดอีกครั้ง
ความจริงที่ว่า คือความขัดแย้งในหมู่ชนชั้นนำหรือบุคคลชั้นสูง ซึ่งได้ทำลายอนาคตของคนไทย
และประเทศไทยลงไปอย่างน่าเสียดายอย่างยิ่ง
ความจริงข้อนี้ เป็นสิ่งที่ไม่เคยถูกนำมาวิเคราะห์ ไม่เคยนำมาศึกษา ไม่เคยนำมาเพ่งมองให้เห็น
เป็นที่ประจักษ์ และนำไปสู่การกำหนดอนาคตประเทศว่าจะอยู่อย่างไรในโลกยุคปัจจุบัน
เป็นความจริงที่พูดคุยกันหลังไมค์ วิเคราะห์กันหลังฉาก ตามเอกลักษณ์ของสังคมไทยที่เป็น
สังคมต่อหน้าคือความเท็จ ลับหลังคือความจริง การไม่พยายามศึกษาวิเคราะห์ความเป็นจริง
ของประเทศ เพื่อนำไปสู่การวางฐานของประเทศให้มั่นคงถาวรในอนาคตนี่่เอง นอกจากจะไม่
สามารถทำให้ประเทศไทย เข้มแข็ง แข่งขันกับประเทศอื่น ๆ ได้อย่างน่าภาคภูมิใจแล้ว
ยังไม่สามารถสร้างความเป็นปึกแผ่นมั่นคงภายในประเทศได้ด้วย แม้ว่าเราจะผ่านบทเรียน
อันเลวร้าย ผ่านประวัติศาสตร์การต่อสู้ที่เจ็บปวดมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง
ความเป็นจริงที่เด่นขึ้นอีกครั้งก็คือ กลุ่มชนชั้นสูง หรือชนชั้นนำของประเทศไทยที่ยึดกุมทรัพยากร
อำนาจ และความเป็นประเทศไทยไว้ เพียงกลุ่มเดียวหรือเพียงไม่กี่กลุ่มนี้ กำลังอ่อนล้า อ่อนล้า
ทั้งปัญญา และอ่อนล้าทางร่างกาย จึงเต็มไปด้วยความสับสน และขัดแย้งกันเองอย่างรุนแรง
อาการหวาดกลัวว่า อำนาจ โภคทรัพย์ และผลประโยชน์ทั้งหลาย ที่กลุ่มบุคคลดังกล่าวยึดถือ
ครอบครองมาเป็นเวลานาน กำลังจะถูกแย่งชิง แบ่งปัน หรือยึดครองโดยกลุ่มบุคคลอื่่น หรือ
แม้แต่ประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศตัวจริง เป็นความหวาดกลัวอย่างที่สุดของ บุคคลกลุ่มนี้
การแก้ปัญหาเพื่อขจัดความหวาดกลัวของบุคคลชนชั้นนำเหล่านี้ คือการสร้างหลุมดำขนาดใหญ่
ขึ้นในใจกลางประเทศ ด้วยหวังที่จะให้หลุมดำ ดูดกลืนเอาความหวาดกลัวของพวกตนให้หมดสิ้นไป
แต่การแก้ปัญหาแบบสิ้นปัญญาเช่นนี้ กลับทำให้ ประชาชนคนไทยทั้งประเทศต้องมาพลัดตกลง
ไปในหลุมดำแห่งหายนะนี้ด้วย นี่คือความเป็นจริงที่เจ็บปวดใจของคนไทย
การแก้ปัญหาด้วยการรัฐประหาร จึงเป็นความต้องการของชนชั้นนำผู้มีอำนาจและบุคคลชั้นสูง
ในสังคมไทย ที่ต้องการจะรักษาอำนาจและผลประโยชน์ของตัวเองไว้ให้นานที่สุดเท่่านั้น
ไม่ได้หวังที่จะปฎิรูปประเทศให้คนไทยได้ภาคภูมิใจในความเป็นเจ้าของประเทศอย่างแท้จริง
หรือไม่ได้ต้องการที่จะหยิบยื่นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ให้กับประชาชนแต่อย่างใด
ดูเหมือนว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา พวกเขาไม่ได้สร้างสังคมไทยให้น่าอยู่ ไม่ได้สร้างอนาคต
ของประเทศให้สดใส เพื่อลูกหลานไทยในอนาคต เหมือนอย่างที่ได้โฆษณาเอาไว้แต่อย่างใด
ดังนั้น จะแน่ใจได้อย่างไรว่า คณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ไม่ใช่เครื่องมือหนึ่งของชนชั้นนำ
ที่ออกมาเพื่อทำหน้าที่่พิทักษ์ รักษาอำนาจและผลประโยชน์ของชนชั้นนำ จะคาดหวังได้อย่างไรว่า
คสช. จะนำพาประเทศก้าวข้ามหุบเหวแห่งหายนะ หรือหลุมดำที่ชนชั้นนำสร้างขึ้น
เพื่อนำความสงบสุขมาสู่สังคมไทย
เกือบ 30 ปีของการทำหน้าที่สื่อสารมวลชน เพื่อสะท้อนความจริงของสังคมไทย หลายครั้ง
ภาพสะท้อนของสังคมไทยที่ออกจาก กระจกใบนี้อาจจะพร่ามัว แต่หลายครั้งกระจกใบนี้่
ก็ทำหน้าที่สะท้อนความเป็นจริงของสังคมไทยได้อย่างชัดเจน แม้จะถูกกระทำย่ำแย่
ถูกละเมิดสิทธิเสรีภาพจนเกือบจะยืนหยัดอยู่ไม่ได้
สิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาค ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และความเป็นประชาธิปไตย คือ อุดมการณ์
อันสูงสุดที่ผู้เขียนพยายามรักษาและหวงแหนในการประกอบวิชาชีพสื่อสารมวลชน
ตลอดมาเกือบ 30 ปีที่ผ่านมา
ถึงเวลานี้ ด้วยอำนาจที่มาจากปลายกระบอกปืน อำนาจเผด็จการทหารที่เข้มแข็งรุนแรงมากกว่าทุกครั้ง
คงถึงเวลาที่จะสารภาพว่า ความอดทนอดกลั้น ได้มาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว
เพราะนอกจากต้องอดทน อดกลั้่น ที่อยู่ในฐานะผู้ถูกกระทำแล้ว การเห็นภาพประชาชนผู้รักประชาธิปไตย
เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายออกมา เรียกร้องสิทธิเสรีภาพ ศักดิ์ศรีความเป็นคนบนท้องถนนแล้วถูกจับกุม
ถูกกระทำย่ำยีอย่างไร้ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ต่อหน้าสื่อมวลชนจำนวนมาก ที่ทำมาหากินอยู่บน
หลักสิทธิเสรีภาพและความเป็นธรรม แต่กลับช่วยอะไรไม่ได้
อีกทั้งผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนโดยส่วนใหญ่ กลับสยบยอมต่อการทำลายจิตวิญญาณแห่งวิชาชีพ
ของตนเอง ยิ่งทำให้สะท้อนใจว่า แล้วจะทนอยู่ในฐานะนักสื่อสารมวลชน ที่ทำตัวเหมือนคนโกหก
หลอกลวงตัวเอง และหลอกลวงคืนอื่นต่อไปได้อย่างไร
ณ สถานที่อันสงบเงียบแห่งนี้ จึงขอประกาศดัง ๆ ว่า “ข้าพเจ้า..นายจอม เพชรประดับ สื่อมวลชนอิสระ
ขอยุติบทบาทการทำหน้าที่สื่อสารมวลชนในประเทศไทย ตั้งแต่บัดนี้ จนกว่าคนไทยทั้่งประเทศ
จะได้รับสิทธิเสรีภาพกลับคืนมา และจนกว่า ประเทศไทยจะกลับมาปกครองในระบอบประชาธิปไตย
ที่แท้จริงอีกครั้ง”
ขอบคุณทุกคนที่ให้กำลังใจตลอดมา …… สวัสดีครับ”