นางฮิลลารี คลินตัน ผู้แทนพรรคเดโมแครตชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ แถลงยอมรับความพ่ายแพ้ หลังผลเลือกตั้งเมื่อวันที่ 8 พ.ย.59 ที่ผ่านมา ระบุว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้แทนพรรครีพับลิกัน เป็นฝ่ายชนะคะแนนอย่างทิ้งห่าง เป็นว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 45 โดยจะเข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในปี 2560
นางคลินตัน ได้ประกาศต่อกลุ่มผู้สนับสนุนของตนที่นครนิวยอร์กช่วงค่ำวานนี้ (9 พ.ย.59) โดยระบุว่า รู้สึกเสียใจที่ไม่อาจเอาชนะการเลือกตั้งครั้งนี้ได้ ทั้งยังไม่อาจทำลายกำแพงกระจก ซึ่งหมายถึงการที่เธอไม่สามารถเป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ได้ แต่เชื่อมั่นว่า สักวันหนึ่งจะต้องมีผู้ประสบความสำเร็จในที่สุด พร้อมทั้งเรียกร้องให้ผู้สนับสนุนของตนเชื่อมั่นในการทำสิ่งที่ถูกต้องต่อไป
นางคลินตันยังได้เรียกร้องให้กลุ่มผู้สนับสนุนของตนยอมรับผลการเลือกตั้ง พร้อมทั้งเปิดใจและให้โอกาสนายทรัมป์เป็นผู้นำ เนื่องจากผลการเลือกตั้งบ่งชี้ให้เห็นว่าสังคมอเมริกันอาจแตกแยกมากกว่าที่คิด
ขณะที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐ มีกำหนดพบกับนายทรัมป์อย่างเป็นทางการครั้งแรกในวันนี้ (10 พ.ย.59) เพื่อพูดคุยกันในฐานะที่นายทรัมป์จะรับตำแหน่งผู้นำสหรัฐคนต่อไป ซึ่งนายโอบามา ระบุด้วยว่า แม้ตนและนายทรัมป์จะมีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด แต่พรรคเดโมแครตตระหนักดีว่า ประชาชนอเมริกันต้องมาก่อน ความรักชาติต้องมาก่อน และพวกเราทุกคนล้วนต้องการสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อประเทศชาติ
ก่อนหน้านี้ นายทรัมป์พร้อมครอบครัว กล่าวสุนทรพจน์หลังได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ ที่โรงแรมฮิลตัน ในนครนิวยอร์ก ท่ามกลางกลุ่มผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกัน ว่า นางคลินตันได้โทรศัพท์มาแสดงความยินดีกับเขาแล้ว ขณะที่เขาเอง ได้เห็นการทำงานหนักมาเป็นเวลายาวนานของนางคลินตัน และมีความซาบซึ้งในสิ่งที่นางคลินตันทำเพื่อประเทศชาติ
นายทรัมป์ กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้ถึงเวลาแล้วที่ชาวอเมริกันทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็นผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกันหรือเดโมแครต จะต้องมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ส่วนตัวเขาเองรับปากว่า จะเป็นประธานาธิบดีของพลเมืองอเมริกันทุกคน
นายทรัมป์ กล่าวชมเชยทีมงานของเขาที่รณรงค์หาเสียงอย่างเหน็ดเหนื่อย โดยคนเหล่านี้ เป็นกลุ่มบุคคลที่มาจากหลากหลายเชื้อชาติ ศาสนา มีภูมิหลังและความเชื่อที่แตกต่างกัน ซึ่งนับจากนี้เขาและทีมงานจะเริ่มภารกิจเร่งด่วนในการเสริมสร้างชาติและสานฝันอเมริกัน
ว่าที่ผู้นำสหรัฐคนใหม่กล่าวด้วยว่า เขาทำงานในภาคธุรกิจมาตลอดชีวิต คอยมองหาโอกาสและศักยภาพในการลงทุนทั้งในโครงการต่างๆ และกับคนทั่วโลก แต่บัดนี้ ถึงเวลาที่เขาจะทำงานเพื่อประเทศชาติ ซึ่งเขาเห็นว่า มีศักยภาพมหาศาล และชาวอเมริกันคนทุกจะมีโอกาสได้ตระหนักถึงศักยภาพสูงสุดของตนเอง หญิงและชายชาวอเมริกันที่เคยถูกลืม นับจากนี้ พวกเขาจะได้รับการจดจำ รวมทั้งอดีตทหารหาญที่เคยต่อสู้เพื่อชาติจะได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม
นายทรัมป์ ยังกล่าวด้วยว่า เขามีแผนการอันยิ่งใหญ่ในอันจะเสริมสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นสองเท่า และทำให้เศรษฐกิจสหรัฐแข็งแกร่งว่าชาติใดในโลก ในเวลาเดียวกัน สหรัฐจะเป็นมิตรกับชาติที่ต้องการเป็นมิตรกับสหรัฐ และเขาขอประกาศให้ประชาคมโลกรับรู้ว่า แม้เขาจะทำงานโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของอเมริกาเป็นอันดับแรก แต่ในเวลาเดียวกันเขาก็จะให้ความเป็นธรรมกับทุกคน ผ่านการแสวงหาจุดยืนร่วมกัน มิใช่ความเป็นศัตรู แสวงหาความเป็นหุ้นส่วน มิใช่ความขัดแย้ง
นายทรัมป์กล่าวปิดท้ายสุนทรพจน์ว่า การรณรงค์หาเสียงยาวนาน 2 ปี ได้สิ้นสุดลงแล้ว เขาและทีมงานจะเริ่มทำงานเพื่อชาวอเมริกันโดยทันที และหวังว่า ผู้คนจะมีความภาคภูมิใจในตัวเขาในฐานะประธานาธิบดีของชาวอเมริกัน