เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2565 : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.),มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ Queen’s University Belfast (QUB) ร่วมกันประกาศเปิดศูนย์วิจัยนานาชาติด้านความมั่นคง
ทางอาหาร (International Joint Research Center on Food Security หรือ IJC-FOODSEC) มุ่งผลิตงานวิจัยระดับโลกเพื่อสร้างความปลอดภัยและความมั่นคงทางอาหารตลอดห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาคอาเซียน
ศาสตราจารย์พิเศษ ดร. เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดเผยว่า “อุตสาหกรรมอาหารเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักของประเทศไทยที่มีความ
เขมแข็งทั้งในระดับประเทศและระดับโลก สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง อุตสาหกรรมอาหารเป็นหนึ่งในสาขายุทธศาสตร์ภายใต้โมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economic Model)
ซึ่งรัฐบาลได้กำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติ ผลิตภัณฑ์อาหารมีศักยภาพในการเพิ่มมูลค่า GDP จาก 0.6 ล้านล้านบาท เป็น 0.9 ล้านล้านบาท ด้วยการพัฒนาต่อยอดจากพื้นฐานความพร้อมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในอุตสาหกรรมอาหารไทยโดยการยกระดับคุณภาพ สร้างมาตรฐานและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ การสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่โดยเฉพาะในกลุ่มอาหารเพื่อสุขภาพ ผลิตภัณฑ์อาหารฟังก์ชัน (functional foods) หรือการพัฒนาเป็นสารประกอบมูลค่าสูง (functional Ingredient) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ตลาดเติบโตอย่างมาก”
Dr. Christopher Elliott,OBE,Institute for Global Food Security,Queen’s University Belfast เปิดเผยว่า “ไบโอเทคและ Institute for Global Food Security,QUB มีความร่วมมือทางการวิจัยเรื่องความปลอดภัยทางอาหารและการพัฒนาบุคคลากรมามากกว่า 10 ปีแล้ว ซึ่งความร่วมมือดังกล่าวมีผลงานเป็นที่ประจักษ์อย่างต่อเนื่อง ต่อมาในปี พ.ศ.2563 ความร่วมมือระหว่าง 2 สถาบันได้ขยายครอบคลุมความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สร้างผลกระทบในทุกมิติทั้งการร่วมวิจัย การพัฒนาบุคลากรวิจัยและนักศึกษาและการทำงานร่วมกับภาคเอกชน โดยในเดือนมกราคม 2565 ผู้บริหาร QUB ได้ตัดสินใจสนับสนุนการจัดตั้ง IJC-FOODSEC เพื่อเป็นศูนย์กลางในการสร้างความเป็นเลิศทั้ง 3 มิติข้างต้นในระดับอาเซียน”
ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ หรือ
ไบโอเทค (สวทช.) กล่าวว่า “สวทช. ได้จัดตั้ง Sustainable Food and Functional Ingredient Agenda เพื่อตอบโจทย์อุตสาหกรรมอาหารและอาหารสัตว์ไว้ที่จุดเดียว หรือ One Stop Service และยังมีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถดำเนินงานวิจัยตั้งแต่ระดับห้องปฏิบัติการวิจัย สู่การทดสอบระบบการผลิตในระดับกึ่งอุตสาหกรรม จนได้ต้นแบบผลิตภัณฑ์ที่พร้อมถ่ายทอดสู่การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ได้อย่างครบวงจร การจัดตั้ง IJC-FOODSEC ถือเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยส่งเสริมความเข้มแข็งของงานวิจัยด้านอาหารของ สวทช. โดยเฉพาะการที่ (สวทช.) มีโอกาสเสริมความแข็งแกร่งกับพันธมิตรเช่น Queen’s University Belfast ซึ่งมีความเป็นเลิศด้านการเกษตรและอาหารในระดับโลก และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์”
IJC-FOODSEC มุ่งวิจัยและพัฒนาด้านนวัตกรรมอาหารและอาหารสัตว์ โดยเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีกระบวนการผลิต เพื่อลดการสูญเสียระหว่างกระบวนการและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อให้เกิดการลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มผลกำไร นอกจากนี้ยังมุ่งวิจัยเพื่อเพิ่มมูลค่าให้แก่ผลผลิตทางการเกษตรและทรัพยากรชีวภาพในประเทศและศึกษาด้านความปลอดภัยของอาหาร โดยเฉพาะในเรื่องสารพิษจากรา เพื่อยกระดับขีดความสามารถของผู้ประกอบการในประเทศไทยและ ASEAN ให้มีศักยภาพในการที่จะก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางของการผลิตและการส่งออกอาหารในระดับโลก
รศ.เกศินี วิฑูรชาติ อธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า “แผนการดำเนินงานวิจัยและพัฒนาที่เป็นโจทย์จากความต้องการของภาคเอกชนตั้งแต่เริ่มต้นถือเป็นกลไกที่สำคัญในการผลักดันการถ่ายทอดงานวิจัยและเทคโนโลยีให้กับภาคอุตสาหกรรมนำไปใช้ประโยชน์ โดยมีอุตสาหกรรมเป้าหมายคือ อุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมอาหารสัตว์และอาหารเสริมสัตว์ ซึ่งจะสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจให้กับประเทศ ลดการนำเข้าผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศ และเกิดการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีคุณภาพ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคเอกชนต่อไป”
รศ. เกศินี วิฑูรชาติ กล่าวต่อไปว่า “นักวิจัยภายใต้ IJC-FOODSEC ได้พัฒนาผลงานวิจัยที่ประสบความสำเร็จ สามารถใช้งานได้จริงหรือมีประสิทธิภาพในการนำไปพัฒนาต่อยอดเชิงพาณิชย์ ซึ่งถือเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะช่วยยกระดับอุตสาหกรรมอาหารและอาหารสัตว์ในประเทศและระดับภูมิภาค”
ตัวอย่างผลงานวิจัยที่ประสบความสำเร็จที่พัฒนาโดยนักวิจัยภายใต้ IJC-FOODSEC ได้แก่
- เทคโนโลยีชีวภัณฑ์ (biocontrol technology) ชีวภัณฑ์สำหรับควบคุมโรคพืชรวมทั้งสามารถย่อยสลายสารเคมีตกค้างในดินทางการเกษตร มีความโดดเด่น คือ เป็นชุดชีวภัณฑ์พร้อมใช้ที่มี
ความสะดวกในการเตรียม ใช้เวลาสั้นในการเพิ่มปริมาณเชื้อแบคทีเรียที่มีประโยชน์ทำให้ทันต่อการสถานการณ์การระบาดของโรคพืชสำคัญทางเศรษฐกิจ มีต้นทุนการผลิตที่ประหยัด ผู้ใช้สามารถนำไปใช้ได้ด้วยตนเองเพียงอ่านคู่มือการใช้แล้วปฏิบัติตามก็สามารถได้ชีวภัณฑ์ที่มีคุณภาพเช่นเดียวกับการทดลองในระดับห้องปฏิบัติการ - NSTDA-Dyes คือ สีย้อมอินทรีย์เรืองแสงชนิดใหม่ (novel luminescent organic dyes)
เป็นสารไฮโดรคาร์บอนซึ่งเป็นนวัตกรรมทางเคมีที่ถูกคิดค้น สังเคราะห์และจดสิทธิบัตรโดยทีมนักวิจัย
ในโครงการไมโคสมาร์ท (MycoSMART) ใช้สำหรับเชื่อมต่อกับแอนติบอดีเฉพาะที่ตรวจจับสารพิษจากเชื้อราได้อย่างแม่นยำ โดยสามารถอ่านผลการตรวจวัดสารพิษได้อย่างชัดเจนจากแสงสีของ
NSTDA-Dye ภายใต้สภาวะที่เหมาะสมหรือใช้เครื่องมืออย่างง่าย - MycoSMART kit เป็นชุดตรวจที่ใช้เทคนิคไมโครอะเรย์และ lateral flow strip test มาผนวกเข้าด้วยกันทำให้สามารถตรวจสารพิษจากเชื้อราได้ทีละหลายชนิด แบบพกพา และวัดค่าแบบ
semi-quantitative อีกด้วย - เทคโนโลยี Agri-Mycotoxin binder ซึ่งเป็นนวัตกรรมการนำวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรมาประยุกต์ใช้ในการลดสารพิษจากราในอาหารสัตว์ โดยวัสดุนี้สามารถลดสารพิษจากราที่ส่งผลให้สัตว์เกิดความผิดปกติทางร่างกายและระบบภูมิคุ้มกันได้หลากหลายชนิด เช่น อะฟลาท็อกซิน บี1 (Aflatoxin B1) ซีราลีโนน (Zearalenone) โอคราท๊อกซิน เอ (Ochratoxin A) ฟูโมนิซิน บี1 (Fumonisin B1) และ ดีอ็อกซีนิวาลีนอล (Deoxynivalenol)
ศูนย์วิจัยนานาชาติด้านความมั่นคงทางอาหาร (International Joint Research Center on Food Security) ตั้งอยู่ที่ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ สวทช. คณะผู้บริหารประกอบด้วย
Dr.Christopher Elliott,QUB ผู้ก่อตั้ง ประธานกรรมการที่ปรึกษานานาชาติ และ Bualuang ASEAN Chair Professor on Food Security (แต่งตั้งโดยโดยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) และ ศ.ดร.นิศรา การุณอุทัยศิริ นักวิจัยอาวุโส ทีมวิจัยไมโครอะเรย์แบบครบวงจร ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ และผศ.ดร.อวันวี เพ็ชรคงแก้ว อาจารย์ประจำสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นผู้อำนวยการศูนย์
สุรเชษฐ ศิลานนท์ รายงาน