อนงค์ จันทร
ผ่านมา 6 เดือนแล้ว สำหรับการรับราชการทหาร หลังฝึกเข้มเป็นพลทหารผลัด 1/59 ประจำการกองพันทหารราบ มณฑลทหารบกที่ 11 (พัน.ร.มทบ.11) กรุงเทพฯ สำหรับ 3 พลทหาร “ชิน”ชินวุฒ อินทรคูสิน (ลูกครึ่งไทย-ฝรั่งเศส), กวินท์ นิโคลัส ดูวาล (ลูกครึ่งไทย-อังกฤษ) และ ชาโน แพมเบอร์เกอร์ (ลูกครึ่งไทย-ออสเตรีย-เยอรมัน) ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นทหารของพระราชา
โดยทั้งสามพลทหารได้ให้สัมภาษณ์ถึงความรู้สึกที่ผ่านมาในการรับราชการทหาร
ความรู้สึกตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาเป็นทหาร จนถึงวันนี้ความรู้สึกเปลี่ยนไปไหม?
ชาโน – “ด้วยเป็นทหารพรานมาก่อน พอได้เข้ามาอยู่ตรงนี้ พอรู้ระบบระเบียบต่างๆ ความรู้สึกโอเค แต่ยังมีอีกหลายหลักสูตรที่ผมยังไม่เคยได้รู้ตอนเป็นทหารพราน ก็ตื่นเต้นครับ รู้สึกดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เข้ามารับใช้ชาติ”
ชิน – “เรา 3 คนเข้ามาพร้อมกันหมด ผลัด 1/59 เราไม่รู้ว่าจะมาเจออะไร มีทั้งตื่นเต้นผสมกลัวนิดๆ เรามักกลัวในสิ่งที่เราไม่รู้ เรามาพร้อมกันหมดวันที่ 1 พ.ค. เริ่มฝึกกันทันทีตั้งแต่เริ่มเดินเข้ากองร้อย ตอนนี้ผ่านไป 6 เดือน สนุกกับการที่ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ และมันเป็นความภาคภูมิใจที่ได้มีโอกาสปฏิบัติหน้าที่เพื่อประเทศ ได้ความแข็งแกร่ง แข็งแรง ได้วินัย ได้มีเพื่อนดีๆ เพิ่มขึ้นเยอะ เป็นประสบการณ์ที่ดี ถ้ามีโอกาสสักครั้งหนึ่งผมว่าทุกคนน่าจะได้ทำอะไรแบบนี้ อาจจะไม่ต้องเป็นทหาร แต่ทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อตอบแทนแผ่นดินที่เราอยู่”
กวินท์ – “ผมเป็นลูกครึ่ง พอเรียนจบก็เข้าไปจับใบดำใบแดง ความรู้สึกตอนนั้น กลัวเหมือนอย่างที่ชินพูด กังวลว่าจะเป็นอย่างไร เป็นเหมือนปลาตัวหนึ่งที่โดนจับจากอีกบ่อหนึ่ง โยนลงไปในอีกบ่อหนึ่ง แต่เป็นในทาง ที่ดี ทุกอย่างที่ผมฝึกมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจิตใจ ฝึกความอดทน รักพ่อแม่มากขึ้น ตอนที่เข้ามาตอนแรกนิสัยผมไม่ได้โตมาก แต่ก็ไม่ใช่เด็ก แต่ตอนนี้โตขึ้น นิ่งขึ้น ภารกิจต่างๆ ที่ได้รับการฝึกสอนมาคือเป็นพลทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ให้เต็มที่และทำเพื่อชาติ”
หลายคนคงได้ยินมาก่อนหน้านี้ว่าการเข้ามาเป็นทหารเกณฑ์จะต้องถูกฝึกหนักและครูฝึกโหด?
กวินท์ – “ผมไม่ได้กลัวการฝึก เพราะเล่นฟิตเนส ออกกำลังกายเยอะ แต่สิ่งที่ผมรู้สึกว่าฝึกมากที่สุดคือเรื่องใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการ ไม่ได้เจอพ่อแม่ ไม่ได้กินในสิ่งที่เราอยากกิน ผมไม่ได้กลัวการเป็นทหาร แต่เรากลัวในสิ่งที่เราไม่รู้”
ชิน – “เรื่องที่มีการเล่าว่ามีการทำร้ายกันเป็นส่วนน้อยมาก แล้วไม่ได้มีในทหาร มันคือคนที่มีอารมณ์ มีอีโก้ ไม่ต้องเป็นทหารหรอก ทุกคนมีอยู่แล้ว แต่อันนี้ผมพูดในฐานะที่เจอประสบการณ์ตรง ไม่มีเลยครับ ผมยังไม่เคยเห็นเลยแม้แต่ครั้งเดียว แล้วผมไม่ได้กลัวเรื่องนั้น ก่อนจะเข้ามาเป็นทหาร เรื่องชกต่อยมันก็มี(หัวเราะ) เป็นเรื่องปกติ ชีวิตลูกผู้ชาย ก่อนเข้ามาผมไม่ได้กลัวตรงนั้น แต่ที่กังวลก่อนจะเข้ามาคือเรื่องที่บ้าน คนละส่วน พอเข้ามาแล้วไม่ได้น่ากลัว ดีด้วยซ้ำ มันฝึกเรา เหมือนเราอึดอัดกับสิ่งที่เราไม่คุ้นเคย แต่ถ้าเราเข้าใจว่าเรามาอยู่ตรงนี้ต้องปฏิบัติหน้าที่ตรงนี้ มันไม่มีอะไรต้องอึดอัดเลย ปล่อยวางการเป็นเมื่อก่อนที่เคยเป็น แล้วมาเป็นใหม่ตรงนี้มันก็จบ ตื่นตี 5 นอน 3 ทุ่ม แล้วก็ฝึก พอขึ้นกองร้อยฝึกเสร็จก็เข้าวงจรที่เราคุ้นเคย แน่นอนว่าในช่วงแรกมันเป็นการฝึกใจ”
ชีวิตเปลี่ยนไหมหลังเข้ามาเป็นทหาร?
กวินท์ – “เปลี่ยนเยอะเลยครับ เวลาเจอคนข้างนอก เขาจะทักว่าทำไมเปลี่ยนเยอะขนาดนี้ ไม่ว่าจะเป็นบุคลิก การเดิน การพูด ดูแข็งแรงขึ้น แต่เราไม่ค่อยรู้ตัวหรอก”
ชิน – “เราเปลี่ยนโดยไม่รู้ตัว เพราะเราอยู่ตรงนี้กันทุกวัน และเราได้เห็นตัวอย่างทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นนายสิบหรือผู้บังคับบัญชา ความแข็งแรง แข็งแกร่งมากทุกวัน แต่พอออกไปข้างนอกเขาดูว่าเราแข็งแรง แต่ถ้าอยู่ข้างในนี้คนอื่นที่เขาดูแข็งแรงกว่าเราด้วยซ้ำ มันขึ้นว่าเราอยู่ตรงไหน”
ชาโน – “ของผมเปลี่ยนมาก เมื่อก่อนตื่นสายมากทุกวัน(หัวเราะ) พอเข้ามาเป็นทหาร ทุกอย่างเปลี่ยนหมด ไม่ว่าจะเป็นบุคลิก การใช้ชีวิตประจำวัน เขาจะฝึกทุกอย่าง และทำให้เราเห็นคุณค่ามากขึ้น อย่างเช่นการกินข้าว เมื่อก่อนกินทิ้งกินขว้าง ไม่เห็นคุณค่าของมัน แต่พอมาเป็นทหารได้เห็นคุณค่าว่าข้าวแต่ละเม็ดไม่ได้หากันง่ายๆ”
เรียกว่าเราเป็นทหารชุดสุดท้ายของรัชกาลที่ 9 ความรู้สึกแต่ละคนเป็นอย่างไรบ้าง?
ชาโน – “แน่นอนมีความภาคภูมิใจ และเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เป็นทหารของรัชกาลที่ 9 ถ้าให้ผมเล่าความรู้สึก มันเล่าไม่จบ”
ชิน – “จริงๆ ถ้าเลือกได้ไม่ได้อยากเป็นผลัดสุดท้ายของรัชกาลที่ 9 (น้ำตาคลอ) แต่เมื่อมันเป็น ด้วยเราอยู่ตรงนี้เราต้องปฏิบัติหน้าที่ให้เต็มที่ให้ดีที่สุด เพราะเชื่อมั่นอยู่แล้วว่าเราเป็นผลัดสุดท้าย 1/59 ทั้งประเทศ ไม่ว่าจะเป็น ทบ., ทอ. หรือ ทร. ในเวลาเดียวกันมันก็เป็นสิ่งที่เราต้องรับผิดชอบมากขึ้น กลายเป็นสิ่งที่เราต้องฮึกเหิมมากขึ้น ทำหน้าที่ให้ดีมากขึ้น ได้มีบางสิ่งบางอย่างไปพูดกับลูกได้ ความภาคภูมิใจมีอยู่แล้วทุกคน ไม่ต้องเป็นผลัดสุดท้าย แค่เป็นทหารก็มีความภาคภูมิใจกันทุกคนอยู่แล้ว”
กวินท์ – “ก่อนจะเข้ามาเป็นทหาร เรารักพระเจ้าอยู่หัวอยู่แล้ว พอเราเข้ามาเป็นทหาร ทางทบ.11 ได้ถ่ายทอดความรู้ หรือหน้าที่ที่ท่านได้สอนมามากขึ้น พูดจากมุมมองของการเป็นลูกครึ่ง เรื่องวัฒนธรรม เรื่องประวัติศาสตร์ผมไม่ค่อยได้รู้ แต่พอได้เข้ามาเป็นทหารก็ได้เรียนรู้จากการได้เป็นพลทหาร เหมือนกับชินและชาโนพูดว่าความภูมิใจมันมีอยู่แล้ว ไม่ว่าการที่เราได้เข้าไปตีกลองชนะประโคมย่ำยาม หรือปฏิบัติหน้าที่ที่ไหน เราก็จะพยายามทำให้เต็มที่เพื่อพ่อ เพราะพ่อทำทุกอย่างมาให้เราหมดแล้ว”
ชิน – “ดูงานเรา 3 คนเล็กไปเลย เมื่อเทียบกับสิ่งที่ท่านทรงทำ มีอยู่ครั้งที่เรา 3 คนได้มีโอกาสฟังเรื่องราวจากวิทยากรพิเศษที่อยู่ใกล้ชิดท่านมาเล่าให้พวกเราฟังในสิ่งที่พระองค์ทรงทำ ได้เล่ามุมมองในสิ่งที่เราไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น เช่น เรื่องที่พระองค์ท่านรักษาตัวอยู่ที่ร.พ.ศิริราช ยังทรงงานอยู่ทุกวัน แม้กระทั่งท่านทรงประชวรก็ยังทรงงาน ทำเพื่อพวกเรา เพราะฉะนั้นในสิ่งที่พวกเราทำตรงนี้น้อยนิดกับสิ่งที่ท่านทรงงานมาตลอด 70 ปี”
มีโอกาสถวายงานในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นครั้งสุดท้าย ในการทำหน้าที่ตีกลองชนะประโคมย่ำยามในงานพระราชพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ความรู้สึกเป็นอย่างไร?
กวินท์ – “รู้สึกเป็นเกียรติที่เข้าไปใกล้ท่านขนาดนั้น ถ้าผมไม่ได้เป็นพลทหาร ผมเชื่อว่าผมไม่สามารถมีโอกาสเข้าไปได้ใกล้ขนาดนั้น การที่ได้ทำอะไรแบบนี้เป็นความภาคภูมิใจ และผมไม่ได้ภูมิใจคนเดียว แม่ผม ญาติๆ ผม เพื่อนผมก็ภูมิใจ ทหารทั้ง 40 นายที่ได้เข้าไปเราภูมิใจกันทุกคน ตอนนั้นยอมรับว่าตื่นเต้น ไม่รู้ว่าข้างในบรรยากาศจะเป็นอย่างไร วันแรกผมเดินในสนามหลวงไปแจกน้ำแจกข้าว ไม่คิดว่าจะได้เข้าไปข้างใน พอทางผู้บังคับบัญชาโทร. มาว่าเราต้องตีกลอง ทุกคนรอบข้างตื่นเต้นแทนผม เพราะหลายคนไม่มีโอกาสเข้า ไปข้างในเหมือนผม ก็เป็นสิ่งที่ภูมิใจมากๆ และเป็นเกียรติมากๆ ที่ได้ทำเพื่อพ่อ”
ชาโน – “ทั้งชีวิตผมไม่เคยคิดว่าจะได้มาทำอะไรแบบนี้ การเข้าไปใกล้ชิดท่านในขณะนั้น เป็นสิ่งที่ภูมิใจและเป็นเกียรติกับครอบครัว พ่อผมเป็นชาวต่างชาติ พ่อผมรักในหลวง เมื่อก่อนตอนเด็กๆ ผมไม่รู้เลยว่าท่านคือใคร แต่พ่อผมสอนตลอด ปู่ย่าผมที่เยอรมันก็รักท่าน เพราะไม่มีกษัตริย์พระองค์ใดที่ทรงงานได้เหมือนท่าน ท่านทำเพื่อประเทศ ทำเพื่อประชาชนจริงๆ การเข้าไปทำหน้าที่ตรงนั้นถือเป็นเกียรติและเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่ง ไม่ใช่แค่ผมคนเดียวที่ได้ไป เดี๋ยวชินก็ ได้ไป กวินท์ไปมาแล้ว ซึ่งการเข้าไปทำหน้าที่ตรงนั้นเป็นการวนกันไปในแต่ละวัน ต้องไปทุกกองร้อย แต่ละวันจะไม่เหมือนกัน มี 40 นายก็ผลัดกันไปเรื่อยๆ เราทหารทุกนายที่ได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งตรงนั้นในรัชกาลที่ 9 ถือเป็นความภาคภูมิใจ”
ชิน – “อย่างผมนี่ยังไม่ได้ไป แต่ก็ตั้งหน้าตั้งตารอนะ”
อยากให้พูดถึงพ่อหลวง ซึ่งเรียกว่าเป็นพ่อของเราเลย?
ชาโน – “มันเป็นความรู้สึกที่อยู่ข้างใน ถ้าจะเอาออกมาอธิบายเป็นคำพูดมันอธิบายไม่หมด เพราะความรู้สึกที่มีต่อท่าน รู้สึกตั้งแต่เด็ก รักท่านมาก พ่อผมก็รักท่านมาก เราคนไทยทุกคน แม้กระทั่งชาวต่างชาติก็รักท่านมาก ผมภูมิใจที่ได้เกิดมาบนผืนแผ่นดินไทย ที่ได้เกิดมาเป็นลูกของพ่อหลวง”
ชิน – “ตอนเด็กๆ เรางงว่าทำไมในบ้านต้องมีรูปพระองค์ท่าน ไปทุกที่ทำไมต้องมี ตอนเด็กๆ ไม่รู้เรื่อง พอเราเริ่มเข้าโรงเรียนก็จะมีเรื่องประวัติศาสตร์ ก็ยังไม่รู้เรื่อง ไม่ได้อิน ต้องพูดตามจริง เพราะไม่รู้ ผมมารู้จริงๆ ตอนเป็นนักร้องนะ เพราะมีงานคอร์เปอเรตที่เราต้องไปตลอด ไปช่วยงาน ได้เห็น ได้ยิน ได้ฟัง ก็เริ่มเข้าใจว่าทำไม ไม่ได้มีรูปเพราะมีคนสั่งให้มีรูป แต่มีรูปเพราะทุกคนอยากมีรูป อยากมีพระองค์ท่านอยู่ใกล้”
แม่ผมเป็นชาวต่างชาติ วันที่บอกจะมีแถลงการณ์การสวรรคตแต่ยังไม่มีแถลงการณ์เป็นทางการ แม่ผมร้องไห้ตั้งแต่รู้ว่าจะมีแถลงการณ์ ไปรับน้องสาวที่มหาวิทยาลัย แม่ร้องไห้ตลอดทาง แม่ผมอยู่ที่เมืองไทยมา 29 ปี ก่อนผมเกิด ได้เห็นมาตลอด แล้วแม่ก็พูดเหมือนที่พ่อชาโนพูดว่าไม่มีกษัตริย์พระองค์ไหนที่เสียสละเท่านี้มาก่อน ทำทุกอย่างเพื่อประชาชนจริงๆ
ถ้าให้พูดคือท่านเป็นทั้งแรงบันดาลใจและเป็นกำลังใจในเวลาเดียวกัน แรงบันดาลใจให้เราทำมากขึ้นและดีขึ้น เป็นกำลังใจเมื่อเราท้อและรู้สึกเหนื่อย นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเราถึงมีรูป เพราะทุกครั้งที่เราเหนื่อย ท้อ หมดแรงบันดาลใจ เราแค่มอง และเราก็จะลุกขึ้นมาทำต่อ”
กวินท์ – “ผมพยายามจะถ่ายทอดในสิ่งที่ท่านสอน ไม่ว่าจะเรื่องการสนับสนุนการเรียน หรือพลังงานธรรมชาติที่ท่านได้สร้างขึ้นมาอย่างเขื่อน อย่างด้านเพลงผมก็พยายามตามรอยที่ท่านเดิน ผมพยายามปฏิบัติตามหน้าที่ให้ดีที่สุด ให้เต็มร้อยและทำในสิ่งที่ท่านสอน การใช้ชีวิตที่พอเพียง และอีกหลายๆ อย่างที่ท่านได้ทำเพื่อเรา”
เราตั้งปณิธานอะไรอย่างไรให้กับในหลวง?
ชิน – “ปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด อันนี้คือหลักที่ผมใช้กับชีวิตเลย ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม คนหนึ่งคนมีหน้าที่หลายหน้าที่ มีบทบาทหลายบทบาท ไม่ว่าจะอยู่ตรงนี้เป็นพลทหาร อยู่ที่บ้านคือลูก อยู่กับแฟนคือแฟน เราต้องปฏิบัติให้ดีที่สุด นั่นคือปณิธานที่ผมตั้ง และอีกอันที่ผมพยายามทำมาตลอด คือทำเพื่อคนหมู่มาก พยายามทำให้ได้”
ชาโน – “ผมจะเอาทุกคำสอนของท่านนำมาประยุกต์และสืบทอดต่อรุ่นลูกหลาน สู่เพื่อนๆ รุ่นใหม่ๆ ทุกๆ คนให้ปฏิบัติตามคำสอนของท่าน”
กวินท์ – “ผมจะยึดมั่นในการใช้ชีวิตให้พอเพียง ความอดทน ความสามัคคี ผมจะยึดมั่นตรงนี้ และพยายามบอกต่อเพื่อน หรือรุ่นลูก หรือให้คนอื่นๆ ได้ฟังว่าเราภูมิใจมากที่ได้เป็นทหารของพระราชา”