(27 มิ.ย.65) ดร.เกษม ศุภสิทธิ์ อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดพัทยา ทนายความมูลนิธิแห่งสภาคริสตจักรในประเทศไทย แถลงข่าว กรณีเมื่อวันที่ 22 มิ.ย.ที่ผ่านมา กลุ่มเครือข่ายผู้ปกครองนักเรียนและตัวแทนศิษย์เก่าโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย นำโดยนายชัชวีร์ ชีวีวัฒน์ ผู้ประสานงานประชาสัมพันธ์องค์กร SaveBcc มีการยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการควบคุมฯให้ดำเนินการทางกฎหมายกับผู้บริหารมูลนิธิแห่งสภาคริสตจักรในประเทศไทยซึ่งเป็นผู้รับใบอนุญาตโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย โดยอ้างว่ามีการนำเงินของโรงเรียนจำนวน 530.23 ล้านบาท ไปใช้โดยผิดกฎหมายนั้น ดร.เกษม ศุภสิทธิ์ ขอชี้แจงให้ทราบว่า
1.มูลนิธิแห่งสภาคริสตจักรในประเทศไทย
ดำเนินกิจการของโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย ในเรื่องเงินกองทุนพัฒนามูลนิธิแห่งสภาคริสตจักรในประเทศไทย เป็นไปตามหลักเกณฑ์การจัดตั้งกองทุนของหน่วยงาน และสถาบันสังกัดสภา
คริสตจักรในประเทศไทย และมูลนิธิแห่งสภาคริสตจักรในประเทศไทย ค.ศ.2006 (พ.ศ.2549) ดังปรากฏในการประชุมคณะกรรมการ อำนวยการสมัยสามัญครั้งที่ 1/2006 อนุมัติจัดตั้งกองทุนของหน่วยงานและสถาบันสังกัดสภาคริสตจักรในประเทศไทย และมูลนิธิแห่งสภาคริสตจักรในประเทศไทย ค.ศ.2006 (พ.ศ.2549) ซึ่งถือเป็นการดำเนินการจัดตั้งกองทุนฯ ก่อนที่จะมีการกำหนดตราสารจัดตั้งโรงเรียนฯ และกองทุนฯ เกิดขึ้นก่อน พระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน ฉบับปี พ.ศ. 2550 และไม่ขัดตามมาตรา 47 แห่งพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชนดังกล่าว และตามธรรมนูญแห่งสภาคริสตจักรในประเทศไทย ค.ศ.1998 หมวด 9 ข้อ 70 มูลนิธิแห่งสภาคริสตจักรในประเทศไทย ก่อตั้งโดยสภาคริสตจักรในประเทศไทย ตามมติของคณะกรรมการอำนวยการสภาคริสตจักรในประเทศไทย มีฐานะเป็นนิติบุคคล มีอำนาจตามกฎหมาย และเป็นเจ้าของทรัพย์สิน ทั้งอสังหาริมทรัพย์ และสังหาริมทรัพย์ ของสภา
คริสตจักรในประเทศไทย สถาบันการศึกษา สถาบันการรักษาพยาบาล และกิจการต่างๆ ของสภาคริสตจักรในประเทศไทย เพื่อประโยชน์รับโอนทรัพย์สินเก็บดอกผลจากทรัพย์สิน และจัดการสุสานของมูลนิธิแห่งสภาคริสตจักรในประเทศไทย เพื่อนำมาใช้จ่ายในการบำเพ็ญสาธารณะประโยชน์ให้การศึกษาแก่เยาวชน ให้การรักษาพยาบาลแก่คนเจ็บป่วย สงเคราะห์เด็กกำพร้า คนชรา ผู้พิการ รวมทั้งส่งเสริมการเผยแพร่คริสต์ศาสนาให้รุ่งเรืองยิ่งขึ้น ดังนั้น การจัดตั้งกองทุนพัฒนามูลนิธิแห่งสภาคริสตจักรในประเทศไทย จึงเป็นการก่อตั้งโดยชอบตามความในหมวด 9 แห่งธรรมนูญนี้ และไม่ขัดต่อพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชนแต่อย่างใด
2.การซื้อโรงเรียนบึงกาฬพิทักษ์ศึกษา ผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการบริหารโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย
มูลนิธิแห่งสภาคริสตจักรในประเทศไทย ซึ่งเป็นผู้รับใบอนุญาตฯ เป็นเพียงผู้พิจารณาอนุมัติเพื่อให้การซื้อกิจการโรงเรียนดังกล่าวเป็นไปตามหลักเกณฑ์การจัดซื้อจัดจ้างของสภาคริสตจักรในประเทศไทย และมูลนิธิแห่งสภาคริสตจักรในประเทศไทย ค.ศ. 2016 ประชุมเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน ค.ศ. 2018 ที่ประชุมมีมติที่ กท. กบ.77/ปีการศึกษา 2018 ขออนุมัติจัดซื้อโรงเรียนบึงกาฬพิทักษ์ศึกษา โดยระบุว่าการซื้อดังกล่าวไม่ทำให้โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัยมีปัญหาทางด้านการเงิน คณะกรรมการมูลนิธิแห่งสภาคริสตจักรในประเทศไทย ประชุมเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม ค.ศ. 2018 ที่ประชุมมีมติที่ มสท.703/2018 อนุมัติให้โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย จัดซื้อกิจการและที่ดินโดยรอบโรงเรียนบึงกาฬพิทักษ์ศึกษา ตามระเบียบข้อบังคับการบริหารหน่วยงานและสถาบันฯ ค.ศ. 2009 และหลักเกณฑ์การจัดซื้อจัดจ้างฯ ค.ศ. 2016)
- การสนับสนุนโรงเรียนเยนเฮล์เม็มโมเรียล ในช่วงก่อนที่จะมีการปิดโรงเรียนเยนเฮล์เม็มโมเรียล โรงเรียกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย มีโครงการที่จะใช้โรงเรียนเยนเฮล์เม็มโมเรียล เป็นโรงเรียนระดับอนุบาลถึงระดับประถมศึกษา ของโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย ตามการศึกษาของโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัยที่นำเสนอต่อคณะกรรมการมูลนิธิแห่งสภาคริสตจักรในประเทศไทย ในการประชุมคณะกรรมการมูลนิธิแห่งสภาคริสตจักรในประเทศไทย สมัยวิสามัญ ครั้งที่ 1/2012 เมื่อวันจันทร์ ที่ 23 เมษายน ค.ศ. 2012 (มติที่ มสท. วิสามัญ 8/2012 และ มสท. 266/2012) การจ่ายเงินดังกล่าวเป็นไปตามขั้นตอนของคณะกรรมการบริหารโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัยในเวลานั้น โดยผ่านการพิจารณาอนุมัติของผู้รับใบอนุญาต เมื่อปี ค.ศ. 2012(พ.ศ.2555)
- การสนับสนุนเงินซื้อโรงเรียนความหวังเวียงป่าเป้า เป็นไปตามมติการอนุมัติของคณะกรรมการบริหารโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย (มติที่ กท.กบ.17/ปีการศึกษา 2015(พ.ศ. 2558)ตามรายงานการประชุมคณะกรรมการบริหารโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย สมัยสามัญ ครั้งที่ 1/ปีการศึกษา 2015 เมื่อวันพุธ ที่ 10 มิถุนายน 2558) (มติที่ มสท. วิสามัญ 15/2015 “เห็นชอบขอรับการสนับสนุนเงินจากโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย จำนวน 2,000,000.00 บาท…” ตามรายงานการประชุมมูลนิธิแห่งสภาคริสตจักรในประเทศไทย สมัยวิสามัญ ครั้งที่ 2/2015 วันจันทร์ ที่ 25 พฤษภาคม ค.ศ. 2015 เป็นไปตามระเบียบข้อบังคับฯ สภาคริสตจักรในประเทศไทย และมูลนิธิแห่งสภาคริสตจักร ในประเทศไทย คริสตศักราช 2009
- การสนับสนุนโรงเรียนเคนเน็ตแม็คแคนซี เป็นไปตามมติของคณะกรรมการบริหารโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย มติที่ กท. กบ. ว.10/ปีการศึกษา 2018(พ.ศ.2561) ตามรายงานการประชุมคณะกรรมการบริหารโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย สมัยวิสามัญ ครั้งที่ 1/ปีการศึกษา 2018 เมื่อวันพุธที่
13 กุมภาพันธ์ 2019) ทั้งนี้ การบริหารจัดการโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย ของผู้รับใบอนุญาตฯ เป็นไปตามตราสารจัดตั้งโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย ซึ่งได้รับการรับรองจากเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 และระเบียบหลักเกณฑ์ของผู้รับใบอนุญาต ตามตราสารฯ ข้อ 39 ถึง 43
ตามเหตุผลดังกล่าวข้างต้น จึงเป็นการนำเงินมาใช้จ่ายในการบำเพ็ญสาธารณะประโยชน์ และขยายพันธกิจทางด้านสถาบันการรักษาพยาบาล และสถาบันทางการศึกษา โดยให้การศึกษาแก่เยาวชน ให้การรักษาพยาบาลแก่คนเจ็บป่วยสงเคราะห์เด็กกำพร้า คนชรา ผู้พิการ รวมทั้งส่งเสริมการเผยแผ่คริสตศาสนาให้รุ่งเรืองยิ่งขึ้น เป็นการสืบทอดเจตนารมณ์ของคณะมิชชันนารี ที่เข้ามาบุกเบิกเผยแผ่คริสต์ศาสนา พร้อมกับสร้างสถาบันการรักษาพยาบาล และสถาบันทางการศึกษา นับแต่ปี พ.ศ. 2383 (ค.ศ. 1840) จนเจริญรุ่งเรืองมาถึงทุกวันนี้ โดยไม่ต้องใช้งบประมาณจากภาครัฐแต่อย่างใด ทั้งนี้ มูลนิธิแห่งสภาคริสตจักรในประเทศไทย ซึ่งเป็นผู้รับใบอนุญาตโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย ได้ทำหนังสือปฏิเสธ มติที่ประชุมของคณะกรรมการควบคุมโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย ไปแล้ว เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2565 และ ตามพระราชบัญญัติ โรงเรียนเอกชน พ.ศ. 2550 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2 ) พ.ศ. 2554
มาตรา 104 บัญญัติว่า “ การปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการควบคุมโรงเรียน เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา “
ดังนั้น หากมติของคณะกรรมการควบคุมฯไม่ชอบด้วยกฎหมาย มูลนิธิแห่งสภาคริสตจักรในประเทศไทย สงวนสิทธิที่จะดำเนินคดีตามกฎหมายกับบุคคลที่ทำให้มูลนิธิแห่งสภาคริสตจักรในประเทศไทยเกิดความเสียหายต่อไป