(24 มิ.ย.65)เมื่อเวลา 11.45 น.ที่อาคารรัฐสภา นายวัชระ เพชรทอง อดีตส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ยื่นหนังสือผ่านงานสารบรรณถึงนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร และประธานคณะกรรมการจริยธรรมสภาผู้แทนราษฎร ให้สอบสวนการกระทำของนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ โฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 ว่า กระทำผิดข้อบังคับว่าด้วยประมวลจริยธรรมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและกรรมาธิการ พ.ศ. 2563 หรือไม่ จากกรณีลงเฟสบุ๊คของตนเองว่าได้รับรถเบนซ์ จำนวน 2 คัน ในขณะเป็นโฆษก กมธ. และอยู่ระหว่างถูกป.ป.ช.สอบสวนว่าร่ำรวยผิดปกติ ตามที่นายเรืองไกรกล่าวอ้าง
นายวัชระ กล่าวว่า ข้อเท็จจริงตามที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ โฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 และปัจจุบันเป็นคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 ได้ลงเฟสบุ๊คของตนเองเมื่อวันที่ 18 ก.ค.64 ระบุว่า “ผู้ใหญ่ใจดีให้เงินซื้อรถใหม่เอาไว้ใช้ตามใจที่อยากได้ S 560 ป้ายแดงเลข 8807 หวยที่ออกก็ตรงด้วย 555” และให้สัมภาษณ์สื่อในรายการเจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand เมื่อวันที่ 19 ก.ค.64 บอกว่า “จริงๆเป็นเรื่องที่พูดคุยกันมาระยะหนึ่งแล้ว จะ 60 ปี จะเกษียณจะครบรอบวันเกิดวันที่ 26 ส.ค.นี้ อยากได้อะไร ผมก็บอกว่า จริงๆเงินซัก 20-30 ล้านบาทก็ยังพอโอเค เขาบอกไม่ได้ เขาก็ถามว่า รถอยากได้ไหม ผมก็บอกว่า โอเค สุดท้ายก็ได้แค่รถ เงินยังไม่ได้เลย” ทั้งให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์มติชน เดลินิวส์และข่าวสดว่า “รถเบนซ์คันดังกล่าวรวมค่าประกันตกแต่งแล้วและอื่นๆ เบ็ดเสร็จมูลค่า 5 ล้านบาท และยังประกาศว่าถ้าป.ป.ช. จะตรวจสอบเชิญ หรือนักการเมืองคนใดสงสัยเชิญ” ต่อมาวันที่ 24ก.ย.64 นายเรืองไกร ได้ให้สัมภาษณ์ว่า “เรืองไกร”เผยภรรยาคือ “ผู้ใหญ่ใจดี” ซื้อเบนซ์ให้ ลุยร้องยุบ พท.- ทบทวนแก้ รธน.” แม้นายเรืองไกรจะให้ข่าวว่า “ภรรยาคือผู้ใหญ่ใจดี”ให้เงินซื้อเบนซ์ นายเรืองไกรก็ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า เงินที่ซื้อรถเบนซ์ 2 คัน ชำระเงินโดยวิธีใด เป็นเงินสดหรือจ่ายเป็นเช็คธนาคารใด หากเป็นเงินสดเบิกเงินสดมาจากบัญชีใด ธนาคารใด วันที่เท่าไร ชำระอย่างไร ให้แก่ผู้ใดและซื้อในราคาปกติหรือไม่ ซึ่งในความเป็นจริงในโลกใบนี้เป็นที่สงสัยว่ามีภรรยาของผู้ใดบ้างที่ซื้อรถเบนซ์ราคาแพงถึง 2 คันซ้อนๆให้กับสามีวัยสูงอายุของตน จึงเป็นที่สงสัยของสาธารณชนอย่างยิ่ง
ดังนั้น นายวัชระ เพชรทอง และว่าที่ร้อยตรี สุทธิศักดิ์ ประศาสน์ครุการ จึงขอร้องเรียนตามความประสงค์และความต้องการของนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ โฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ที่เคยประกาศไว้ โดยขอร้องเรียนต่อคณะกรรมการจริยธรรมสภาผู้แทนราษฎรให้ตรวจสอบและสอบสวนนายเรืองไกร ซึ่งตามกฎหมายถือเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ และขณะได้รับรถเบนซ์ทั้ง 2 คันนั้น ถือว่าเป็น “เจ้าหน้าที่ของรัฐ” แล้วและต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายอาญา กฎหมาย ป.ป.ช. และประมวลจริยธรรมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและกรรมาธิการ พ.ศ. 2563 อย่างเคร่งครัด การที่นายเรืองไกร เป็นผู้ป่าวประกาศทางเฟสบุ๊คของตนเองอย่างเอิกเกริกว่าได้รับรถเบนซ์ราคา 5 ล้านบาท จากผู้ใหญ่ใจดีข้างต้น และรถเบนซ์สีขาวอีก 1 คัน (ไม่ระบุราคา) เท่ากับนายเรืองไกร ขณะดำรงตำแหน่งโฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐประกาศยอมรับต่อสาธารณชนว่าได้รับทรัพย์สินเกินกว่า 3 พันบาท อันเป็นการกระทำที่ขัดต่อพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 128 หรือไม่ และอาจมีความผิดตามกฎหมายอื่นหรือไม่ และเป็นการผิดข้อบังคับว่าด้วยประมวลจริยธรรมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและกรรมาธิการ พ.ศ. 2563 หรือไม่
กรณีนี้อยู่ในความสนใจของสังคมเพราะก่อนหน้านี้นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกวุฒิสภาได้ออกมาเปิดเผยข่าวว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม จากการที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. สอบสวนพฤติการณ์การส่อความร่ำรวยผิดปกติ เพราะป.ป.ช.มีหนังสือที่ ปช.0015/1507 ลงวันที่ 17 ก.ย. 63 ถามนายเรืองไกรว่าสำนักงาน ป.ป.ช. ได้ตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของนายเรืองไกร โดยเปรียบเทียบรายการทรัพย์สินและหนี้สิน กรณีเข้ารับตำแหน่ง กับกรณีพ้นจากตำแหน่ง ปรากฏว่ามีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นสุทธิ 34,162,505.58 บาท จึงมีกรณีจำเป็นต้องขอทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับทรัพย์สิน ดังนี้
- กรณีพ้นจากตำแหน่ง ท่านแสดงว่าคู่สมรสมีที่ดินเพิ่มชื้น 1 แปลง มูลค่า 14,500,000 บาท (ขอสงวนเลขที่โฉนด) แขวงบางซื่อใต้ เขตบางชื่อ กทม. คู่สมรสซื้อเมื่อวันที่ 16 ต.ค.51 ตามหนังสือสัญญาขายระบุราคา 14,500,000 บาท โดยชำระเป็นแคชเชียร์เช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เลขที่ 0057125 ลงวันที่ 16 ตุลาคม 2551 จำนวน 9,000,000 บาท ส่วนที่เหลือจำนวน5,500,000 บาท ชำระเป็นเงินสด ซึ่งได้แนบสัญญากู้เงินจากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาสาทร ลงวันที่ 15 ก.ย.51 จำนวน 9,000,000 บาท ตามสัญญาระบุว่าเพื่อซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างแล้ว ขอทราบว่าเงินจำนวน 5,500,000 บาท ที่ระบุว่าชำระเป็นเงินสด นายเรืองไกรหรือคู่สมรสนำเงินได้มาจากแหล่งใด ชำระเงินอย่างไร เมื่อใด ถอนเงินจากบัญชีเงินฝากธนาคารใด เลขที่เท่าใด ขอเอกสารหลักฐาน ที่เกี่ยวข้อง
- กรณีพ้นจากตำแหน่ง นายเรืองไกรแสดงว่าคู่สมรสมีโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างเพิ่มขึ้น 1 หลังย่านพญาไท กทม.มูลค่า17,000,000 บาท กรุงเทพมหานคร ตั้งอยู่บนโฉนดที่ดิน(ขอสงวนเลขที่) โดยคู่สมรสได้รับอนุญาตก่อสร้างอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก 3 ชั้น เนื้อที่ 680 ตารางเมตร จำนวน 1 หลัง เมื่อวันที่ 9 มิ.ย.52 ซึ่งนายเรืองไกรแนบสัญญากู้เงินกับธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) จำนวน 6,000,000 บาท ลงวันที่ 24 มิ.ย.52 โดยระบุว่ากู้เพื่อปลูกสร้างบ้านที่อยู่อาศัย ขอทราบว่าเงินส่วนที่เหลือจำนวน 11,000,000 บาท ได้มาจากแหล่งใด ชำระเงินโดยวิธีใด อย่างไร เมื่อใด ให้แก่บุคคลหรือนิติบุคคลใด ถอนเงินจากบัญชีเงินฝากธนาคารใด เลขที่เท่าใด และเมื่อนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ โฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 กล่าวอ้างว่ากำลังอยู่ในระหว่างการถูกสอบสวนจากคณะกรรมการป.ป.ช.ว่าร่ำรวยผิดปกติ ถ้าเป็นความจริง นายเรืองไกรจะปฏิบัติหน้าที่คณะกรรมาธิการพิจารณางบประมาณรายจ่ายจากเงินภาษีของประชาชนด้วยความสง่างาม มีคุณธรรม จริยธรรมหรือไม่ จะปฏิบัติหน้าที่อย่างเที่ยงธรรมต่อการพิจารณางบประมาณของสำนักงานป.ป.ช.หรือไม่ หรือหน่วยงานราชการอื่นหรือไม่ จึงขอให้คณะกรรมการจริยธรรมสภาผู้แทนราษฎรสอบสวนนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ จากกรณีรับรถเบนซ์ จำนวน 2 คัน ขณะเป็นโฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ผิดข้อบังคับว่าด้วยประมวลจริยธรรมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและกรรมาธิการ พ.ศ. 2563 อย่างร้ายแรงหรือไม่ อนึ่ง การเป็นโฆษกคณะกรรมาธิการงบประมาณรายจ่ายฯ และเป็นกรรมาธิการงบประมาณนั้น มีอำนาจหน้าที่ปรับลดงบประมาณแผ่นดินของทุกกระทรวง ทุกกรมและรัฐวิสาหกิจ มีอำนาจให้คุณให้โทษต่อ
งบประมาณของส่วนราชการทุกแห่ง ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 จึงสงสัยเป็นอย่างยิ่งในการปฏิบัติหน้าที่ของนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ โฆษกคณะกรรมาธิการงบประมาณฯ ว่าผิดจริยธรรมหรือไม่