วันที่ 21 มิถุนายน 2565 สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยความร่วมมือของราชบัณฑิต และภาคีราชบัณฑิต สำนักวิทยาศาสตร์ จัดงาน NRCT’S IDF Consortium ครั้งที่ 2 “การผลิตแบบดิจิทัลอัจฉริยะ : เทคโนโลยีการผลิตเพื่ออุตสาหกรรมการแพทย์อนาคต” (Intelligent Digital Fabrication: Manufacturing Technologies for Future Medical Industries) โดยมี ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ เป็นประธานเปิดงาน ณ โรงแรมปทุมวันปริ๊นเซส กรุงเทพมหานคร และผ่านระบบ Zoom
ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กล่าวว่า (วช.) ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) มีภารกิจหลักในการให้ทุนวิจัยและนวัตกรรม ในประเด็นสำคัญของประเทศ โดยมุ่งเน้นผลงานวิจัยที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ทั้งเชิงวิชาการ เชิงเศรษฐกิจ เชิงสังคมชุมชน และเชิงนโยบาย เพื่อใช้เป็นกลไกในการพัฒนาและเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ในปัจจุบันเทคโนโลยีการพิมพ์อัจฉริยะกำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศได้เริ่มมีการใช้เทคโนโลยีการพิมพ์แบบอัจฉริยะที่ทราบกันโดยทั่วไปว่าเป็นการพิมพ์ 3 มิติ 4 มิติในกระบวนการผลิตมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในอุตสาหกรรมก่อสร้าง อุตสาหกรรมอาหาร และอุตสาหกรรมการแพทย์ก็เป็นอีกอุตสาหกรรมที่เริ่มมีการใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบดิจิทัลอัจฉริยะอย่างแพร่หลาย เทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ 4 มิติ ในเชิงการแพทย์นี้เป็นประโยชน์ต่อบุคลากรการแพทย์และคนไข้อย่างมาก โดยช่วยทั้งในเรื่องการวางแผนรักษาของแพทย์ ลดระยะเวลาและเพิ่มประสิทธิภาพในการผ่าตัดรักษา ประหยัดค่าใช้จ่าย ในขณะที่คนไข้หายเร็ว ลดผลข้างเคียง ทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
“(วช.) ได้เล็งเห็นความสำคัญของเทคโนโลยีการผลิตแบบดิจิทัล ซึ่งมีแนวโน้มเข้ามาเปลี่ยนแปลงหรือแทนที่การผลิตในรูปแบบเดิมและกำลังส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมต่างๆ ในขณะเดียวกัน นับเป็นโอกาสที่สำคัญของประเทศไทยในการพัฒนาองค์ความรู้ ตลอดจนเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านการผลิตแบบดิจิทัลที่ไทยมีศักยภาพเพื่อการประยุกต์ใช้สำหรับอุตสาหกรรมในประเทศ รวมทั้งการผลิตและจำหน่ายไปยังต่างประเทศเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันทางเศรษฐกิจ” ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง กล่าวทิ้งท้าย
ภายในงานมีการบรรยายพิเศษ ในหัวข้อ “โอกาสและความท้าทายใหม่ในอุตสาหกรรมการแพทย์ของไทย” โดย ศ.(กิตติคุณ) นพ.สุทธิพร จิตต์มิตรภาพ ประธานกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวว่า ขณะนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีอย่างมากสำหรับอุตสาหกรรมเพื่อสุขภาพและการแพทย์ของไทย เพราะว่าบุคลากรทางการวิจัยมีความพร้อมอย่างมาก มีการทำงานที่หลากหลายสาขา เมื่อมีการปฏิรูประบบวิจัยช่วงเวลาที่ผ่านมา (กสว.) ได้รับนโยบายจากสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) 4 เรื่อง ได้แก่
1.อาหารมูลค่าสูง อาหารเพื่อสุขภาพ อาหารเพื่ออนาคต
2.การวิจัยและสร้างนวัตกรรมเพื่อสุขภาพและการแพทย์
3.การใช้ดิจิทัลแพลตฟอร์ม ปัญญาประดิษฐ์ รวมถึงเทคโนโลยีต่างๆ และ
4.พลังงาน โดยสิ่งที่ (กสว.) ได้ขับเคลื่อนนโยบายของ (สอวช.) คือ การให้หน่วยงาน PMU ต่างๆ ดำเนินการตามนโยบายดังกล่าว พร้อมสนับสนุนงบประมาณ ปัจจุบันได้มีการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนมากขึ้น และปัจจัยที่สำคัญ คือ กฎหมายใหม่ ได้แก่ พระราชบัญญัติส่งเสริมการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและนวัตกรรม พ.ศ.2564 (TRIUP ACT) จะช่วยปลดล็อกความเป็นเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญา ช่วยกำหนดนโยบายและแนวทางการดำเนินการของการใช้ประโยชน์จากผลงานวิจัยและนวัตกรรม ที่ทำให้ผลงานวิจัยเป็นของผู้รับทุน ซึ่ง พรบ. ดังกล่าว มีผลบังคับใช้แล้ว เมื่อต้นเดือนมิถุนายน 2565 ที่ผ่านมา เมื่อได้ผลผลิตออกมา ก็ต้องทดสอบ เปรียบเทียบคุณสมบัติให้ได้มาตรฐาน เพื่อที่จะสามารถขึ้นทะเบียนและผลิตออกมาขายได้
“สิ่งสำคัญที่จะช่วยส่งเสริมให้เกิดการพัฒนางานวิจัยในภาคอุตสาหกรรม คือ ภาครัฐต้องมาช่วยสนับสนุนการใช้ผลผลิตจากฝีมือนักวิจัยไทย ลดการนำเข้าจากต่างประเทศ เพื่อช่วยเหลือนักวิจัยไทย และนี่เป็นโอกาสที่จะได้ร่วมมือกันของนักวิจัยและผู้ประกอบการ เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมทางสุขภาพและการแพทย์ของไทยให้ก้าวหน้าต่อไป” ศ.(กิตติคุณ) นพ.สุทธิพร จิตต์มิตรภาพ ประธาน กสว. กล่าวทิ้งท้าย
นอกจากนี้ ยังมีการเสวนาในหัวข้อ “ทิศทางขับเคลื่อนเทคโนโลยีการผลิตแบบดิจิทัล (การพิมพ์ 3มิติ/4 มิติ) สำหรับอุตสาหกรรมการแพทย์ไทย” โดยมี นพ.ธนะสิทธิ์ ก้างกอน แห่งกลุ่มงานศัลยกรรม โรงพยาบาลชลบุรี,ดร.วิวัฒน์ นวลสิงห์ แห่งสำนักวิชาวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี,คุณสุเมธ ไชยสูรยกานต์ แห่งบริษัท เมติคูลี่ จำกัด,คุณโชคชัย ยิ่งวัฒน์พงษ์ แห่งบริษัท หาญ เอ็นจิเนียริ่ง โซลูชั่นส์ จำกัด (มหาชน) และมี ศ.ดร.ภญ.พรอนงค์ อร่ามวิทย์ คณบดีคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นผู้ดำเนินการเสวนา
สำหรับงาน NRCT’S IDF Consortium ครั้งนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 แล้ว เพื่อรวบรวมข้อมูลและกำหนด ประเด็นสำคัญ สำหรับการพัฒนาเทคโนโลยี IDF ในกลุ่มอุตสาหกรรมการแพทย์ รวมทั้งเพื่อสร้างและขยายเครือข่ายความร่วมมือนักวิจัย ผู้เชี่ยวชาญ ผู้ผลิต ผู้ใช้ประโยชน์และหน่วยงานภาคนโยบาย ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนงานด้านนี้ของประเทศไทยได้อย่างเข้มแข็งและยั่งยืนต่อไป
สุรเชษฐ ศิลานนท์ รายงาน