หลังจากที่ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ได้นำเสนอรายงานพิเศษ “ความรักผ่านสายพระเนตร…พ่อหลวงถึงราชินี 70 ปีเคียงข้างไม่ห่าง” เรื่องราวความรักของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่มีต่อสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ผ่านมุมมองของข้าราชบริพารอย่าง ม.ล.ปิยาภัสร์ ภิรมย์ภักดี หรือ ‘คุณหญิงต้น’ ไปแล้วนั้น
สำหรับในวันนี้ ม.ล.ปิยาภัสร์ จะมาถ่ายทอดความประทับใจที่มีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อตัวของเธอและครอบครัวกฤดากร ที่ได้ถวายงานรับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาทในราชวงศ์จักรีหลายต่อหลายรุ่น ความประทับใจเหล่านั้น ได้ถูกถ่ายทอดส่งต่อจากคุณย่า-คุณพ่อ คุณแม่ มาสู่ตัวเธอ…
ปิยาภัสร์’ ชื่อนี้…พ่ออยู่หัวพระราชทานให้
ม.ล.ปิยาภัสร์ เกริ่นนำก่อนเล่าย้อนความหลัง ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ทอดพระเนตรตั้งแต่ก่อนที่คุณแม่จะคลอดออกมาเสียอีก และทั้งสองพระองค์ก็ทรงพระมหากรุณาธิคุณเป็นอย่างมาก เมื่อคลอดออกมาท่านก็พระราชทานชื่อให้ว่า ‘ปิยาภัสร์’
“ตอนเด็กๆ เราก็ตามเสด็จทูลกระหม่อมเป็นเพื่อนเล่นรุ่นเล็กของสมเด็จพระเทพฯ ซึ่งพระชนม์มากกว่าเรา 7 ปี และฟ้าหญิงจุฬาภรณพระชนม์มากกว่า 5 ปี ช่วงนั้นอายุประมาณ 5-6 ขวบ ได้ตามเสด็จกับคุณย่าไปในวันปีใหม่ ที่พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ จ.เชียงใหม่ ท่านผู้หญิงเกนหลงอยากให้พระองค์ท่านทรงพระสำราญก็เลยจับเรากับพระองค์โสมฯ ร่วมโต๊ะเสวยด้วย โดยนั่งอยู่ปลายโต๊ะคนละฝั่ง ขณะที่ในหลวงทรงประทับอยู่ตรงกลาง
วันนั้นในหลวงทรงเรียกเราว่า คุณย่าต้น เนื่องจากพระองค์ท่านเห็นว่าเราชอบไปไหนมาไหนกับผู้หลักผู้ใหญ่ นั่งฟังผู้ใหญ่คุยกัน และวันนั้นเป็นครั้งแรกที่ทานชีสฟองดูว์ ด้วยความที่ไม่รู้พอจิ้มเสร็จก็กินเข้าไปเลย แล้วมันร้อนมากๆ (คุณหญิงต้นทำท่าทาง) ในหลวงท่านเห็นก็ตรัสถามว่า เป็นไงล่ะ ร้อนสิย่าต้น ก็เป็นเรื่องขำขันกันในโต๊ะเสวยไป” คุณหญิงต้น เล่าถึงความทรงจำในวัยเด็ก
ในหลวงทรงใส่พระทัย ตรวจสมุดพก นักเรียน ร.ร.จิตรลดา ทุกคน
สมัยนั้น พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังไม่มาก จึงเสด็จพระราชดำเนินมางานปิดภาคเรียนทุกปี และทรงใส่พระทัยมาก โดยตอนนั้นนักเรียนในโรงเรียนมีเพียง 300 คน จึงทอดพระเนตรสมุดพกของนักเรียนทุกคน รวมทั้งยังทรงมีพระราชวินิจฉัยกับท่านผู้หญิงทัศนีย์ และท่านผู้หญิงอังกาบ ผอ.ร.ร.จิตรลดา ว่า หากนักเรียนคนใดจะตกจะหล่นพระองค์จะทรงพระราชวินิจฉัยด้วยพระองค์เอง แสดงให้เห็นว่าทรงโปรดเรื่องการศึกษามาก
และด้วยความที่ทรงสนพระทัยในเรื่องของการศึกษา จึงมีเป้าประสงค์ให้ทูลกระหม่อมทุกพระองค์ได้รับการดูแลเท่าเทียมเหมือนนักเรียนทั่วไป ร.ร.จิตรลดา จึงเป็นเหมือนโรงเรียนที่ทดลองเรื่องการศึกษาของเด็กไทย อีกทั้ง การที่ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ จึงถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อมอย่างหาที่สุดมิได้อีกด้วย
“ในหลวงยังได้ทอดพระเนตรการแสดงของนักเรียน ทั้งยังเสวยพระสุธารสในงานโรงเรียนด้วย โดยเฉพาะปีแรกที่เข้าเรียนก็ถูกจับให้เต้นบัลเลต์ ระบำกรงนกต่อหน้าพระที่นั่ง จนพระองค์ท่านทรงเอาเรื่องของเราไปล้อคุณย่าว่า ‘เมื่อกี้นี้เห็นคุณแสเต้นอยู่ข้างบน’ ท่านบอกว่าเราเหมือนย่า (หัวเราะ)” คุณหญิงต้น กล่าวอย่างอารมณ์ดี
พ่อของแผ่นดินละทิ้งสิ่งโปรด สู่การทรงงานเพื่อพสกนิกร
ม.ร.ว.ยงสวาสดิ์ กฤดากร เคยเล่าถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ลูกสาวอย่างคุณหญิงต้นฟังว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นเหมือนผู้ชายในวัยนั้นทั่วๆ ไป พระองค์ทรงโปรดกล้อง ทรงดนตรี ทุกครั้งที่พระองค์ท่านฉายพระรูปคู่กับรัชกาลที่ 8 จะเห็นแววพระเนตรสุกใสของคนที่ใฝ่รู้ สนุกสนาน มีความสุข มีความอบอุ่นในชีวิต กระทั่งทรงสูญเสียพระบรมเชษฐาธิราช ซึ่งเป็นความเศร้าสลดอย่างยิ่ง พระองค์ท่านเคยรับสั่งไว้ว่า มันเป็นการสูญเสียทั้งพี่ ทั้งพ่อ ทั้งเพื่อน เพราะทรงเติบโตมาด้วยกัน นับเป็นความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในพระชนม์ชีพของพระองค์ท่าน
กระทั่ง ความเศร้าโศกผ่านพ้นไป พระองค์ท่านทรงมีชีวิตครอบครัวและได้กลับไปสวิสอีกครั้ง โดยในครั้งนั้นเสด็จ 5-6 เดือน ภาพที่เห็นคือ พระองค์ท่านได้กลับไปทรงสกี พร้อมกับพาทูลกระหม่อมไปเล่นด้วยเช่นกัน แต่นั่นก็เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่พระองค์จะละทิ้งสิ่งที่พระองค์ทรงโปรดตั้งแต่เด็ก และทรงโตมากับสิ่งเหล่านี้ โดยไม่ได้กลับไปใช้ชีวิตแบบนั้นอีกเลย ทั้งๆ ที่ทรงมีสิทธิ์ที่จะเสด็จไปก็ได้แต่พระองค์ไม่ทรงทำ
“ตลอดระยะเวลา 40 ปีที่ผ่านมาหลวงท่านไม่ได้เสด็จออกต่างประเทศเลย แม้แต่เครื่องบิน 747 ที่เรียกได้ว่า ไม่มีใครไม่เคยขึ้น พระองค์ท่านยังไม่เคยประทับในเครื่องบินลำนี้เลย ได้แต่เพียงเสด็จขึ้นไปส่งสมเด็จพระนางเจ้าฯ เท่านั้น…จะเห็นได้ว่าพระองค์ท่านทรงเสียสละชีวิตส่วนพระองค์ อย่างมาก แต่อย่างไรก็ดี พระองค์ท่านก็ทรงทดแทนด้วยการทรงดนตรี หรือการทรงเรือใบ นั่นก็คือการได้พักผ่อน นอกนั้นคือทรงงานเพื่อประชาชน” ลูกสาวของ ม.ร.ว.ยงสวาสดิ์ กล่าวแทนคุณพ่อ
สุดซาบซึ้ง! ในหลวงทรงห่วงใยข้าราชบริพาร
และความประทับใจที่สุดที่มิอาจลืมได้ลง คือ พระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีต่อครอบครัวกฤดากร โดยเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2540 ท่านผู้หญิงวิยะฎา กฤดากร ณ อยุธยา คุณแม่ของคุณหญิงต้น ได้ตามเสด็จเป็นนางสนองพระโอษฐ์ ในสมเด็จพระนางเจ้าฯ เกิดประสบอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ตกที่ จ.นราธิวาส จนทำให้เสียชีวิต…ครอบครัวกฤดากรเสียใจอย่างมากต่อการสูญเสียในครั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ ทรงทราบเรื่องนี้และเสียพระทัยเช่นเดียวกัน
“วันหนึ่งในหลวงทรงโปรดให้ครอบครัวเราเข้าเฝ้าฯ ที่วังสวนจิตรลดา ทรงรับสั่งมาประโยคหนึ่งมีใจความว่า ‘ฉันเชื่อว่าคนอย่างวิยะฎา..ตายแทนได้’ (เสียงเครือ) ซึ่งเท่ากับว่าพระองค์ทรงเชื่อมั่นในความจงรักภักดีของตระกูลเป็นอย่างยิ่ง จากนั้นได้ทรงปลอบใจคุณพ่อ และคุณพ่อได้ทูลเชิญให้เสด็จมาเสวยที่บ้านพักที่หัวหิน ซึ่งพระองค์ท่านไม่ได้เสด็จมานานแล้ว เพราะคุณย่าไม่อยู่ แต่ครั้งนี้พระองค์ท่านเสด็จมาก็รู้เลยว่า พระองค์ท่านตั้งใจมาปลอบใจคุณพ่อ ท่านได้ตรัสปลอบใจว่า ‘ไม่เป็นไร ทำใจ’ ส่วนสมเด็จพระนางเจ้าฯ ได้เสด็จพระราชดำเนินมางานสวดทุกครั้งด้วย”
“พระองค์ท่านทรงเป็นเจ้านายที่ไม่ได้สักแต่ว่าจะใช้ แต่ยังทรงดูแล ห่วงใยความรู้สึกของข้าราชบริพาร ในใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทของท่านด้วย ทำให้เรารู้สึกประทับใจมากทุกครั้งที่ทรงมีรับสั่งกับเรา และทรงมีพระมหากรุณาธิคุณกับครอบครัวเรามาก…แม้ชีวิตเราก็ถวายให้พระองค์ท่านได้” คุณหญิงต้นกล่าวด้วยความระลึกในพระมหากรุณาธิคุณ
น้อมนำพระราชดำรัส ให้สมกับที่เกิดในรัชกาลที่ 9
“อยากจะฝากอะไรถึงประชาชน ในฐานะที่เคยทำงานใกล้ชิดกับทั้งสองพระองค์?” ผู้สื่อข่าวถามคำถามสุดท้ายแก่ ม.ล.ปิยาภัสร์
“หากพระองค์ท่านทอดพระเนตรเห็นก็คงภูมิใจ ที่คนไทยที่พระองค์ท่านทรงเลี้ยงดูมา 70 ปี มีความศิวิไลซ์ และถวายความจงรักภักดี…เราเชื่อว่าพระองค์ท่านอยากเห็นเมืองไทยเจริญก้าวหน้า หากดูพระราชดำรัส พระองค์ท่านก็ทรงฝากเรื่องจิตใจ ไม่ใช่แค่วัตถุนิยม ถึงพระองค์ท่านไม่ได้ประทับอยู่กับเราแล้ว แต่คำอบรมสั่งสอนก็ยังคงอยู่คู่บ้านคู่เมือง หากรัฐบาลทำเป็นจดหมายเหตุได้ก็ควรทำให้เพื่อระลึกถึงพระองค์ที่ทรงสละได้ทุกอย่าง กระทั่งความสุขของตนเอง
พระองค์ท่านเองก็เคยรับสั่งว่าอยากเกษียณ เคยอยากจะเสด็จไปนิวออร์ลีนส์เพื่อฟังเพลงแจ๊ส หรือ อยากเสด็จไปปฏิบัติธรรม แต่พระองค์ท่านก็ทรงละทิ้งประชาชนไปไม่ได้ เราจะสนองพระเดชพระคุณท่านได้อย่างไร
แม้จะเสียใจก็เสียใจได้ แต่ขอให้คนไทยระลึกถึง สนองงานให้เป็นรูปธรรมต่อไป ทำให้สมกับคนที่เกิดในรัชกาลที่ 9 คนที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ (เสียงสั่นเครือ) ให้ภูมิใจ ไม่อายใคร ทำให้เป็นประเทศไทยอย่างทุกวันนี้ และมีแต่สิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นมา”
ในท้ายที่สุดนี้ ก่อนที่จะร่ำลากันไปนั้น ม.ล.ปิยาภัสร์ ได้อนุญาตให้ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ เผยแพร่มิวสิกวิดีโอเพลงเหมือนเคยฉบับจริงที่ได้จัดทำขึ้นเพื่อทูลเกล้าฯ ถวายทั้งสองพระองค์ ในงานพระราชทานเลี้ยงวันเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 6 รอบ ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2547 ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา
ขอบคุณ ภาพข่าวจาก รายงานเฉพาะกิจ ไทยรัฐ