เที่ยวเพชรบุรี กับ 10 ที่เที่ยวเพชรบุรียอดฮิต เมืองเก่าแก่ที่น่าหลงใหล ทั้งความสวยงามของท้องทะเล ศิลปวัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ที่สำคัญ
หากจะพูดถึงแหล่งท่องเที่ยวที่น่าไปแบบไม่ไกลกรุงก็มีให้เลือกอยู่หลายที่ แต่เห็นจะมีอยู่หนึ่งจังหวัดที่น่าสนใจไม่แพ้จังหวัดอื่น ๆ เลยนั่นก็คือ “จังหวัดเพชรบุรี” เมืองเก่าแก่ที่น่าหลงใหล ทั้งความสวยงามของท้องทะเล ศิลปวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ที่สำคัญ รวมไปถึงวิถีชีวิตของผู้คน
เพชรบุรี ถือเป็นเมืองด่านสำคัญระหว่างภาคกลางและภาคใต้ อีกทั้งยังขึ้นชื่อในเรื่องของแหล่งผลิตน้ำตาล เนื่องจากมีต้นตาลหนาแน่น สังเกตได้จากร้านของฝากข้างทางที่นำผลผลิตจากต้นตาลมาวางจำหน่ายให้เห็นกันหนาตา นอกจากนี้ยังมีแหล่งท่องเที่ยวเด็ด ๆ ที่มีชื่อเสียงมากมาย อีกทั้งมีระยะทางที่ไม่ไกลจากกรุงเทพมหานครมากนัก จึงไม่แปลกที่ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์เมืองเพชรฯ แห่งนี้จะเป็นแหล่งรวมนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่เดินทางมา เสพความสุขในวันพักผ่อนของพวกเขากันอย่างเบิกบานใจ
วันนี้กระปุกดอทคอมเลยอยากขออาสาพาเที่ยว 10 สถานที่สุดเด็ดในเมืองเพชรบุรี ทั้งวัด วัง แอดเวนเจอร์ ช้อปปิ้ง ตบท้ายด้วยของอร่อยแบบครบในที่เดียว จะรอช้าอยู่ทำไมคะ…ตามมาเลย
1. พระนครคีรี (เขาวัง)
พระนครคีรี เดิมชาวบ้านเรียกว่า “เขาสมน” โดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) พระสมุหกลาโหมเป็นแม่กองก่อสร้าง สำเร็จในปี พ.ศ. 2403 และทรงพระราชทานนามว่า “พระนครคีรี” แต่ชาวเมืองเพชรนิยมเรียกกันติดปากว่า “เขาวัง” สืบมาจนทุกวันนี้ โดยพระนครคีรีตั้งอยู่บนยอดเขาใหญ่ 3 ยอด คือ ยอดเขาด้านทิศตะวันออก ซึ่งเป็นที่ตั้งของวัดพระแก้ว ภายในจะมีพระอุโบสถ พระสุทธเสลเจดีย์ หอระฆัง ศาลา และพระปรางค์แดง ยอดเขากลางเป็นที่ประดิษฐานเจดีย์ทรงกลม มีฐานทักษิณโดยรอบ โดยได้รับพระราชทานนามว่า “พระธาตุจอมเพชร” และยอดเขาด้านทิศตะวันตกเป็นที่ตั้งของพระราชวังที่ประกอบไปด้วยหมู่พระที่ นั่งและอาคารต่าง ๆ ทั้งนี้ท่านใดสนใจมาเที่ยวชมอุทยานประวัติศาสตร์แห่งนี้ก็มาได้ทุกเมื่อ ตั้งอยู่ริมถนนเพชรเกษมสายเก่า (ทางเข้าตัวเมือง) เปิดตั้งแต่เวลา 08.30-16.00 น. ทุกวัน ส่วนค่าเข้าชม ชาวไทย 20 บาท ชาวต่างประเทศ 150 บาท เท่านั้นจ้า
2. ถ้ำเขาหลวง
ถ้ำเขาหลวง ตั้งอยู่บนเขาหลวงที่มีความสูงประมาณ 92 เมตร โดยภายในจะมีหินงอกหินย้อยที่สวยงาม จุดเด่นของที่นี่ ก็คือ ลำแสงอาทิตย์ที่สอดส่องเข้ามาภายในถ้ำ ซึ่งสร้างจุดเด่นให้กับองค์พระพุทธรูปฉลองพระองค์ที่ประดิษฐานอยู่ใจกลางให้ ดูโดดเด่นสง่างามมากยิ่งขึ้น โดยองค์พระพุทธรูปดังกล่าวพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้สร้างถวายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเคยเสด็จประพาสมาและทรงโปรดถ้ำแห่งนี้ อีกทั้งยังทรงบูรณะพระพุทธรูปเก่าแก่ภายในถ้ำนี้อีกหลายองค์ นอกจากนี้ยังทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างบันไดหินลงไปในถ้ำบริเวณทางเข้าเชิงเขาหลวงด้านขวามือ ซึ่งมีวัดใหญ่อยู่วัดหนึ่งชาวเมืองเรียกว่า “วัดถ้ำแกลบ” ปัจจุบันชื่อ “วัดบุญทวี” ซึ่งปากถ้ำแกลบที่วัดแห่งนี้มีตำนานเล่าว่า เป็นทางเข้าสู่เมืองลับแลอันเป็นเมืองที่มีแต่หญิงสาว นั่นก็เป็นเพียงตำนานของชาวเมืองเพชรนับร้อยปีมาแล้ว ทั้งนี้หากสนใจไปชมความงดงามของถ้ำและศึกษาตำนานเมืองลับแล สามารถเดินทางไปได้ในเวลาทำการ เวลา 08.00-17.00 น.
3. พระรามราชนิเวศน์หรือพระราชวังบ้านปืน
พระรามราชนิเวศน์หรือพระราชวังบ้านปืน ตั้งอยู่ที่ตำบลบ้านหม้อ อำเภอเมือง ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชประสงค์ให้สร้างด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์สำหรับประทับแรมในฤดูฝน โดยทรงโปรดเกล้าฯ ให้จัดซื้อที่จากราษฎร และให้ จอมพลเรือสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต กับสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เป็นแม่กองจัดการก่อสร้าง ซึ่งภายในมีความโดดเด่นทางด้านสถาปัตยกรรมแบบยุโรป ตลอดจนมีการตกแต่งภายในที่สวยงดงามเป็นอย่างมาก เป็นผลงานการออกแบบของ มิสเตอร์คาล เดอริง ชาวเยอรมัน แล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2459 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานนามว่า “พระที่นั่งศรเพ็ชรปราสาท” และทรงเปลี่ยนเป็น “พระรามราชนิเวศน์” เมื่อปี พ.ศ. 2461 ใช้เป็นที่รับรองแขกเมือง และต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ใช้เป็นที่ตั้งของโรงเรียนผู้กำกับลูกเสือ โรงเรียนฝึกหัดครูเกษตรกรรมและโรงเรียนประชาบาลประจำตำบล
ทั้งนี้ใครที่หลงใหลในสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกสวยคลาสสิกเช่นนี้ก็มาเยี่ยมชม ได้ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00-16.00 น. ค่าเข้าชม ชาวไทย 20 บาท ชาวต่างประเทศ 50 บาท และสำหรับผู้ที่ต้องการจะเข้าชมเป็นหมู่คณะหรือต้องการวิทยากรบรรยาย สามารถทำหนังสือถึงผู้บังคับการจังหวัดทหารบกเพชรบุรี ค่ายรามราชนิเวศน์ อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี 76000 โทรศัพท์ 0 3242 8506-10 ต่อ 259
วัดนี้ตั้งอยู่บนถนนคีรีรัถยา ตำบลคลองกระแชง เป็นวัดเก่าแก่ไม่ปรากฏหลักฐานว่าสร้างขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใด สันนิษฐานว่าเป็นวัดที่มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา โดยสังเกตจากพระพุทธไสยาสน์สมัยอยุธยายาว 21 วา 1 ศอก 1 คืบ 7 นิ้ว ก่ออิฐถือปูนลงรักปิดทอง ภายในองค์พระเป็นโพรง ที่ฝ่าพระบาทได้เขียนลายทองเป็นภาพประสาท พระพรหม ฉัตรพระมหามงกุฎ บาตร คนโท น้ำ สังข์ พระขรรค์ ช้าง ปลา ถาดทอง พัดใบตาล พัดหางนกยูง ดอกบัวแก้วเดิมสร้างไว้กลางแจ้ง ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สร้างหลังคาคลุมไว้ พร้อมทำผนังรอบองค์พระ เป็นวิหารพระพุทธไสยาสน์ดังที่เห็นในปัจจุบัน วิหารอยู่บนไหล่เขาสูงจากพื้นดินประมาณ 15 เมตร นับเป็นพระพุทธรูปนอนขนาดใหญ่องค์หนึ่งในบรรดาพระนอนในประเทศไทย องค์พระลงรักปิดทองบรรทมสีหไสยาสน์บนแท่นสูงประมาณ 1 เมตร
ทั้งนี้ภายในวัดยังมีสิ่งที่น่าสนใจ เช่น วิหารพระพุทธฉาย ภายในวิหารมีภาพเขียนฝาผนังสีฝุ่น เป็นรูปพระพุทธเจ้า พร้อมพระอัครสาวก และมีรูปปั้นเหมือน พระครูสุชาตเมธาจารย์ เจ้าอาวาส ซึ่งท่านได้ลงมือปั้นเอง นอกจากนี้มีวิหารน้อยประดิษฐานพระพุทธรูปทรงเครื่องเก่าแก่สมัยอยุธยา รูปทรงคล้ายพระพุทธรูปพระประธาน วัดหน้าพระเมรุ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สวมชฎาทรงเทริด มีตุ้มหู และมีพระพุทธรูปศิลาสมัยอยุธยาหลายองค์ลักษณะมีเส้นขอบพระโอษฐ์ ฯลฯ ซึ่งแต่ละสิ่งนั้นควรค่าแก่การศึกษาเรียนรู้ สอบถามเพิ่มเติม โทรศัพท์ 08 1297 2152
5. ชมร่องรอยขวานจาม แห่งวัดใหญ่สุวรรณาราม
วัดแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในสมัยอยุธยา เป็นสถานที่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ เช่น ร่องรอยที่ทหารพม่าพยายามพังประตูเข้าไปแต่ไม่สำเร็จ จึงใช้ขวานจามที่บานประตูจนเกิดเป็นรอยผ่าให้เห็นจนถึงทุกวันนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ซึ่งวัดนี้ได้มีการบูรณะในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ภายในวัดมีศาลาการเปรียญเป็นพระตำหนักไม้สักทั้งหลัง ที่พระเจ้าเสือแห่งกรุงศรีอยุธยาพระราชทานแด่พระสังฆราชชาวเพชรบุรี ซึ่งศาลาการเปรียญนี้มีการแกะสลักไม้ที่สวยงาม โดยเฉพาะบานประตูสลักลายก้านขดปิดทอง และยังมีธรรมาสน์เทศน์ซึ่งแกะสลักลงรักปิดทอง รูปทรงเป็นบุษบกที่งดงามและสมบูรณ์ บนผนังภายในพระอุโบสถ มีภาพเขียนเทพชุมนุม อายุกว่า 300 ปี สนใจแวะเข้าไปเยี่ยมชมร่องรอยแห่งประวัติศาสตร์นี้ได้ทุกวัน ไม่เสียค่าใช้จ่าย ตั้งแต่เวลา 07.00-17.00 น. ตั้งอยู่ถนนพงษ์สุริยา ห่างจากศาลากลางจังหวัดประมาณ 1 กิโลเมตร หรือสอบถามเพิ่มเติม โทรศัพท์ 0 3241 2714
6. ศูนย์วัฒนธรรมไทยทรงดำหรือลาวโซ่ง
ตั้งอยู่หมู่ 5 ตำบลเขาย้อย เดินทางตามทางหลวงหมายเลข 4 เลยจากแยกอำเภอเขาย้อย มาทางตัวเมืองเพชรบุรีประมาณ 1 กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายตรงทางเข้าโรงเรียนบ้านวัง เข้าไปประมาณ 300 เมตร ไทยทรงดำหรือลาวโซ่ง เป็นชนกลุ่มหนึ่งที่มีถิ่นฐานเดิมอยู่ที่เมืองเดียนเบียนฟูในเวียดนามเหนือ มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศลาว เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในไทยนานกว่า 200 ปี ราว ๆ สมัยกรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีวัฒนธรรมประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์ นิยมแต่งกายด้วยสีดำ จึงเรียก “ไทยทรงดำ” มีภาษาพูดและภาษาเขียนเป็นของตนเอง มีความรู้ความชำนาญด้านการทอผ้าและจักสาน และในเดือนเมษายนของทุกปีจะมีงานประเพณีไทยทรงดำ ซึ่งถือเป็นงานรื่นเริงสังสรรค์ของชาวลาวโซ่ง โดยจะหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันจัดไปตามหมู่บ้านต่าง ๆ ซึ่งภายในศูนย์ฯ จะมีการจัดแสดงเครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน บ้านจำลอง อักษรดั้งเดิม สาธิตการทอผ้า และขายสินค้าของที่ระลึก
โดยเปิดให้เข้าชมทุกวันไม่เสียค่าใช้จ่าย ตั้งแต่เวลา 08.30-17.00 น. หากนักท่องเที่ยวมาเป็นหมู่คณะและต้องการจะชมการแสดงประเพณีพื้นบ้าน เช่น พิธีเสนเรือน (เซ่นผีบ้าน) การอิ้นกอน การเล่นลูกช่วง การฟ้อนแคน ทั้งนี้สามารถติดต่อล่วงหน้าได้โดยมีค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ยังมีบริการบ้านพักแบบไทยทรงดำไว้บริการนักท่องเที่ยวอีกด้วย สนใจสอบถามเพิ่มเติมที่ศูนย์วัฒนธรรมไทยทรงดำ เทศบาลเขาย้อย โทรศัพท์ 0 3256 1200 หรือ khaoyoi-thaisongdam.com
7. โครงการชั่งหัวมันตามพระราชดำริ
โครงการชั่งหัวมันตามพระราชดำริ ตั้งอยู่ที่บ้านหนองคอกไก่ ตำบลเขากระปุก อำเภอท่ายาง เดิมบริเวณนี้เป็นพื้นที่แห้งแล้ง เกษตรกรส่วนใหญ่นิยมปลูกพืชไร่ ได้แก่ สับปะรด ข้าวโพด และอ้อย เป็นต้น ต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงซื้อที่ดินบริเวณดังกล่าวจำนวน 250 ไร่ สำหรับเพาะปลูกพืชทำเป็นโครงการตามพระราชดำริเพื่อเป็นตัวอย่างแก่เกษตรกร และได้มีชาวบ้านได้นำมันเทศที่ปลูกมาทูลเกล้าฯ ถวายพระองค์ แต่เมื่อเสด็จกลับมิได้ทรงนำมันหัวนั้นไปด้วย เมื่อเสด็จกลับมาอีกครั้งทรงพบว่ามันหัวนั้นงอกเป็นต้น จึงมีพระราชดำรัสว่ามันอยู่ที่ไหนก็งอกได้ จึงมีพระราชดำริให้จัดเป็นพื้นที่เพาะปลูกพืชต่าง ๆ โดยเน้นที่พืชท้องถิ่นของเพชรบุรี เช่น มะพร้าว ชมพู่เพชร มะนาว กะเพรา สัปปะรด ข้าวไร่พันธุ์ต่าง ๆ และทรงมีพระราชดำริให้ปลูกแปลงทดลองมันเทศในที่ดินส่วน ซึ่งโครงการนี้เป็นโครงการพระราชดำริล่าสุดที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อีกทั้งยังทรงให้ปรับปรุงระบบระบายน้ำที่อ่างเก็บน้ำหนองเสือเพื่อใช้ใน โครงการอีกด้วย
ทั้งนี้โครงการชั่งหัวมันตามพระราชดำริ เปิดให้ชมทุกวันเวลา 08.00-18.00 น. ค่าเข้าชมผู้ใหญ่ 20 บาท เด็ก 10 บาท สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โครงการชั่งหัวมันตามพระราชดำริ โทรศัพท์ 0 3247 2700-1
8. Camel Republic (คาเมล รีพับบลิค)
คอมมิวนิตี้มอลล์สุดชิคสไตล์เมืองนอก ที่ถูกยกมาตั้งอยู่ริมถนนเพชรเกษม ภายในมีทั้งเครื่องเล่นและสวนสัตว์รวมอยู่ในที่เดียว โดยถูกสรรค์สร้างภายใต้คอนเซ็ปต์อูฐและฤดูร้อน ตัวอาคารถูกออกแบบให้โดดเด่นด้วยสีส้มอิฐเสมือนสถาปัตยกรรมอาคารในแถบตะวัน ออกกลางสไตล์อาหรับ ซึ่งภายในพื้นที่ถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ โซนร้านค้า ของที่ระลึก รวมถึงร้านอาหารอร่อย ๆ โซนเครื่องเล่นมีให้เลือกเล่นอยู่หลายชนิด และสุดท้าย คือ โซนสวนสัตว์ ที่จะมีการนำอูฐที่มีชีวิตจริง ๆ มาแสดงโชว์อีกด้วย ซึ่งขณะนี้โซนนี้ยังอยู่ในระหว่างดำเนินการสร้างยังไม่เปิดให้บริการ ทั้งนี้หากคุณขับรถมาเหนื่อย ๆ ก็สามารถแวะพักรถ เดินถ่ายรูปเล่น แล้วค่อยเดินทางต่อ ถือเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลยทีเดียวว่าไหมล่ะ
การเดินทาง : คาเมลรีพับบลิคตั้งอยู่บนถนนเพชรเกษม สังเกตง่าย ๆ จะอยู่ตรงข้ามกับ Santorini Park สามารถเข้าชมได้ทุกวันจันทร์-พฤหัสบดี 10.00-18.00 น. และวันศุกร์-อาทิตย์ เวลา 09.00-19.00 น. และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา 09.00-19.00 น. สำหรับราคาค่าบริการและเข้าชม ผู้ใหญ่ราคา 120 บาท และชาวต่างชาติ 200 บาท (เด็กที่มีส่วนสูงไม่ถึง 100 เซนติเมตร เข้าฟรี) ถ้ากลัวจะหลงก็โทรสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 0 3289 0860 หรือเข้าไปติดตามความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ได้ที่ เฟซบุ๊ก Camel Republic
9. ตลาดน้ำบนน้ำตกกวางโจว
ตลาดน้ำแห่งนี้ตั้งอยู่ในพื้นที่อำเภอหนองหญ้าปล้อง มีความแปลกมหัศจรรย์ตรงที่เป็นตลาดน้ำชุมชนที่ตั้งอยู่บนน้ำตก ซึ่งเป็นแห่งแรกและแห่งเดียวในโลก สร้างจุดดึงดูดใจให้กับนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก เดิมทีที่นี่เป็นป่าที่มีน้ำตกสวยงามมานานหลายร้อยปี แต่กลับถูกทำลายอย่างต่อเนื่องจนพื้นป่าเกิดขาดความสมดุลทางนิเวศน์ น้ำตกและป่าที่เคยอุดมสมบูรณ์ก็เปลี่ยนสภาพเป็นพื้นที่แห้งแล้ง จนภายหลังได้มีการพัฒนา มีการบริการจัดการน้ำและปลูกป่าตามแนวพระราชดำริ จึงทำให้พื้นที่แห่งนี้กลับมาฟื้นตัวและมีความอุดมสมบูรณ์มากขึ้น และถูกจัดให้เป็นพื้นที่พักผ่อนท่องเที่ยวและมีกิจกรรมพิเศษสร้างอาชีพให้ กับชุมชน ซึ่งสินค้าส่วนใหญ่ที่มาวางขายจะเป็นพืชผัก ผลไม้ และอาหารที่หาชิมได้ยาก เช่น ห่อหมกกระบอกไม้ไผ่, ขนมหม้อแกงกระบอกไม้ไผ่, ทอดมันปลากราย, หอยทอดหลุมสูตรโบราณ, ก๋วยเตี๋ยวเรือหม้อดินไก๋ตุ๋น, น้ำแว่นแก้วปั่น, หมูยอห่อไผ่ (สูตรต้นตำรับเมืองกวางโจว) และผัดไทยม้ง
นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมอื่น ๆ ที่น่าสนใจให้ทำอีก เช่น พายเรือเที่ยวตลาดน้ำผ่านน้ำตกยาว 400 เมตร เที่ยวชมน้ำตกชั้นผางาม ชั้นผาประดู่เลือด ชั้นหินดำ และชั้นดงมณฑา ซึ่งชั้นหินดำเป็นหินที่มีแร่อยู่มากหาพบได้ยากในประเทศไทย อีกทั้งยังได้พักผ่อนไปกับแก่งธารน้ำที่ร่มรื่นพร้อมพรรณไม้นานาชนิด สักการะต้นไทรรักษาศักดิ์สิทธิ์, สปาปลา ที่เป็นสปาเท้าธรรมชาติแห่งแรกที่อยู่กลางป่า ตลอดจนชมหิ่งห้อยที่เป็นสีสันยามค่ำคืน และจุดชมดาวที่ชัดที่สุดในประเทศไทย เป็นยังไงบ้างคะไม่คิดว่าที่เพชรบุรีจะมีสถานที่แบบนี้ซ่อนอยู่ใช่ไหมล่ะ เอาเป็นว่าฝากที่นี่ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจเพื่อน ๆ ด้วยแล้วกันนะคะ หากสนใจแวะมาเที่ยวที่นี่เขาเปิดเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดราชการเท่านั้นนะ สอบถามรายละเอียดและข้อมูลการเดินทางเพิ่มเติม โทรศัพท์ 08 1832 2608, 08 4540 3425, 0 2755 9085 หรือติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่ www.kwangchowwaterfall-resort.com
10. กิน “ปูชัก” ที่ชุมชนบ้านคลองเทียนและสะพานหิน (สะพานยก)
มากินปูกันเถอะเพื่อน ๆ เนื้อนุ่ม หวาน มัน ต้องปูชักที่สะพานยก ว่าแต่ “ปูชัก” คือ ปูชนิดไหนหลายคนคงทำหน้างงงวย “ปูชัก” ก็คือ “ปูม้า” เพียงแต่มันจะถูกชักขึ้นมาเวลามีคนมาซื้อ จนเป็นคำติดปากว่า “ปูชัก” นั่นเอง ซึ่งที่ชุมชนแห่งนี้ส่วนใหญ่จะมีอาชีพออกเรือประมงจับปูม้า พอมาถึงฝั่งก็จะจับเจ้าปูทั้งหลายใส่ลงถุงตาข่ายแล้วผูกไว้กับราวสะพานยก หรือสะพานเหล็กเล็ก ๆ ที่สามารถยกเปิด-ปิดได้ หลังจากนั้นก็จุ่มลงไปในน้ำเพื่อให้เจ้าปูยังคงมีชีวิตอยู่ต่อไปจนกว่าจะมี คนมาขอซื้อก็จะทำการยกขึ้นมาขาย ซึ่งสะพานยกแห่งนี้ถือเป็นสถานที่ที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยได้บรรจุ เป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวที่ควรไปสัมผัส 3 หรือ Unseen in Thailand 3 อีกด้วย แถมยังขึ้นชื่อว่าเป็นสวรรค์ของนักชิมปูและผู้ที่หลงใหลในอาหารทะเลสด ๆ พ่วงอีกตำแหน่งด้วย
ทั้งนี้หากต้องการไปเลือกซื้อเลือกชิมแบบไม่ต้องแย่งชิงกันมาก แนะนำให้มาในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม เพราะจะเป็นช่วงที่จับปูได้มาก เรียกได้ว่าปูทะลักทะล้นกันเลยทีเดียว นอกจากนี้ ยังมีเทศกาลชิมปูชักที่มักจะจัดขึ้นในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี ให้เหล่าสาวกปูรวมถึงอาหารทะเลต่าง ๆ มาชิม มาช้อปกันอย่างสำราญบานใจอีกด้วย เพื่อน ๆ คนไหนสนใจไปดูชักปูหรือไปกินปูชักสด ๆ ก็ไปได้ทุกวันที่ชุมชนบ้านคลองเทียนและสะพานยก ตั้งแต่เวลา 07.00-19.00 น. หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเพชรบุรี โทรศัพท์ 0 32471 0056 นะจ๊ะ
เป็นอย่างไรกันบ้างกับสถานที่สุดเด็ดที่กระปุกดอทคอมนำมาแนะนำเพื่อน ๆ บางสถานที่ก็ไม่คิดว่าจะมีอยู่จริงในเพชรบุรีใช่ไหมล่ะ เมืองไทยของเรานี่ช่างน่าอิจฉาจริง ๆ ว่าไหม ถ้าหากช่วงวันหยุดนี้ไม่รู้จะออกไปเที่ยวที่ไหนก็ขอให้เมืองเพชร ฯ เมืองเก่าแต่เก๋าแห่งนี้ เป็นหนึ่งในตัวเลือกสำหรับวันพักผ่อนของทุกคนแล้วกันนะ วันนี้ขอตัวลาไปก่อน…เจอกันใหม่จ้า
ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก tiewpakklang, tiewpakklang, เฟซบุ๊ก ไหว้พระชุมชน, khaoyoi-thaisongdam,
adventurespoint และ เฟซบุ๊ก Camel Republic