พระพุทธรูปเพียง “องค์เดียว” ที่มีประดิษฐานทุกจังหวัดทั่วประเทศไทย … โดยใช้เวลาส่งมอบจนครบ ยาวนานถึง 45 ปี !!!
.
ถ้าใครเคยมีธุระต้องไปติดต่อราชการที่ศาลากลางจังหวัด ไม่ว่าจะเป็นจังหวัดใด จะต้องเคยเห็นพระพุทธรูปองค์หนึ่งประดิษฐานอยู่ และเมื่องานพระราชพิธีใดๆ ในจังหวัดนั้นก็จะต้องอัญเชิญพระพุทธรูปองค์นี้ไปเป็นประธานอยู่เสมอ … แสดงว่าพระพุทธรูปองค์นี้น่าจะมีความสำคัญพอสมควร
.
แล้วถ้าใครมีธุระต้องไปติดต่อราชการมากกว่า 1 จังหวัด ก็จะเห็นว่า พระพุทธรูปแบบนี้ที่จังหวัดนั้นก็มีจังหวัดนี้ก็มี .. ก็จะเกิดคำถามขึ้นในใจว่า แล้วจะมีครบทุกจังหวัดไหม … คำตอบคือ มีครับ มีครบทุกจังหวัดทั่วประเทศไทย … ที่สำคัญพระพุทธรูปองค์นี้ พระมหากษัตริย์ได้เสด็จฯ มามอบให้กับแต่ละจังหวัดด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เองอีกด้วย ไม่ใช่ให้ผู้ว่าฯ ทุกจังหวัดไปรับที่ส่วนกลางมาทีเดียว …. นั่นจึงทำให้พระพุทธรูปองค์นี้ต้องใช้เวลาในการทรงส่งมอบยาวนานถึง 45 ปีเลยทีเดียว
.
และพระพุทธองค์นั่นก็คือ “พระพุทธนวราชบพิตร”
.
พระพุทธรูปองค์นี้ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ 9) ทรงมีพระราชดำริให้จัดสร้างขึ้น โดยทรงตรวจพุทธลักษณะด้วยพระองค์เองจนพอพระราชหฤทัย แล้วจึงโปรดเกล้าฯ ให้เททองหล่อพระพุทธรูป เมื่อวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2509 ณ วัดบวรนิเวศวิหาร
.
พระพุทธนวราชบพิตร เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ขนาดหน้าตักกว้าง 23 ซม. สูง 40 ซม. ที่บัวฐานด้านหน้าบรรจุพระพิมพ์ ‘พระสมเด็จจิตรลดา’ ไว้องค์หนึ่ง … โดยที่ฐานขององค์พระ มีอักขระบาลีจารึกไว้ว่า ‘ทยฺยชาติยา สามคฺคิยํ สติสญชานเนน โภชิสิยํ รกฺขนฺติ’ ซึ่งแปลได้ว่า “คนชาติไทยจะรักษาความเป็นไทยอยู่ได้ ด้วยมีสติสำนึกอยู่ในความสามัคคี”
.
เนื่องจากประเทศไทยช่วงเวลานั้น อยู่ในสถานการณ์ที่ถูกภัยคอมมิวนิสต์เข้าคุกคามอย่างหนัก และปีที่พระองค์มีพระราชดำริให้สร้างพระองค์นี้ขึ้น ก็คือปีเดียวกับที่เกิดเหตุการณ์วันเสียงปืนแตก ซึ่งก็คือวันที่กองกำลังพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) เข้าปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เป็นครั้งแรกที่บ้านนาบัว อ.เรณูนคร จังหวัดนครพนม ในวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2508 นั่นเอง
.
โดยจังหวัดแรกที่พระองค์ทรงเสด็จฯ ส่งไปมอบพระพุทธนวราชบพิตร คือ จังหวัดหนองคาย เมื่อวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2510 …. และจังหวัดอุดรธานี ในวันถัดมา (24 มีนาคม พ.ศ. 2510)
.
ต่อมาในปี พ.ศ. 2511 พระองค์ทรงเสด็จฯ ไปทรงมอบอีก 9 จังหวัด ประกอบด้วย แม่ฮ่องสอน (5 มกราคม), เชียงราย (7 มกราคม), ลำพูน และ เชียงใหม่ (9 มกราคม), ยะลา (9 มีนาคม), ภูเก็ต (23 กรกฏาคม), สุราษฎร์ธานี (24 กรกฏาคม), อุบลราชธานี (30 กรกฏาคม) และ สระบุรี (8 กันยายน)
.
พ.ศ. 2512 ทรงเสด็จฯ อีก 4 จังหวัด คือ น่าน (10 มีนาคม), อุทัยธานี (6 สิงหาคม), เลย (5 กันยายน) และ สุรินทร์ (10 กันยายน)
.
แต่ต่อมาในปี พ.ศ. 2513 และ 2514 พระองค์ทรงเสด็จฯ เพียงปีละ 1 จังหวัด คือ พัทลุง ในวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2513 และบุรีรัมย์ ในวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2514
.
ในปี พ.ศ. 2515 ไม่มีการเสด็จฯ ….
.
ขึ้นปี พ.ศ. 2516 พระองค์ทรงเสด็จฯ ไปทรงมอบอีก 2 จังหวัด คือ นครศรีธรรมราช (29 เมษายน) และ สงขลา (23 สิงหาคม) … ซึ่งสงขลา คือ จังหวัดสุดท้ายที่พระองค์ทรงเสด็จฯ ไปด้วยตัวพระองค์เอง
.
รวมจังหวัดที่รัชกาลที่ 9 ทรงมอบพระพุทธนวราชบพิตรด้วยพระองค์เองทั้งสิ้น 19 จังหวัด
.
หลังจากนั้นการเสด็จฯ ไปทรงมอบพระพุทธนวราชบพิตร “ได้หยุดไปยาวนานถึง 9 ปี” จนปีพ.ศ. 2525 … สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาภในรัชกาลที่ 9 จึงได้ทรงมอบให้แก่ จังหวัดกรุงเทพมหานคร ในวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2525 เนื่องในโอกาสครบรอบ 200 ปีกรุงรัตนโกสินทร์ … ซึ่งกรุงเทพฯ เป็นเพียงจังหวัดเดียวที่ได้รับพระองค์นี้จากพระราชินี
.
ส่วนหนึ่งอาจด้วยช่วงเวลานั้นภัยจากคอมมิวนิสต์ แทบจะเรียกได้ว่าสิ้นสุดลงไปจากประเทศไทยแล้ว … เมื่อเกิดปรากฏการณ์ จากป่าสู่เมือง ของผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย เพราะการล่มสลายของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย … ทำให้การเสด็จฯ เพื่อไปทรงมอบพระพุทธนวราชบพิตร ได้หยุดลงอีก 2 ปี (พ.ศ. 2526 – 2527)
.
ต่อมาในปี พ.ศ. 2528 ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงโปรดฯ ให้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณฯ (รัชกาลที่ 10) ครั้งดำรงพระราชอิสริยศ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ เสด็จแทนพระองค์ไปทรงมอบพระพุทธนวราชบพิตรนับจากนั้น … โดยเริ่มจาก จังหวัดมุกดาหาร เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2528
.
แต่เป็นการมอบเพียงจังหวัดเดียว แล้วการเสด็จพระราชดำเนินไปมอบพระพุทธนวราชบพิตร ก็ได้หยุดลงอีกครั้งเป็นระยะเวลา 3 ปี (พ.ศ. 2529 – 2531)
.
จนล่วงเข้าถึงปี พ.ศ. 2532 … สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ (รัชกาลที่ 10) จึงได้เสด็จฯ ไปทรงมอบพระพุทธนวราชบพิตร อีกครั้ง … โดยในปีนี้มีจำนวนทั้งสิ้น 11 จังหวัด ประกอบด้วย ราชบุรี และ สุพรรณบุรี (12 ธันวาคม), ชัยนาท และ สิงห์บุรี (13 ธันวาคม), ประจวบคีรีขันธ์ และ เพชรบุรี (14 ธันวาคม), ชลบุรี และ สมุทรสงคราม (15 ธันวาคม), นนทบุรี – ปทุมธานี และ พระนครศรีอยุธยา ในวันที่ 16 ธันวาคม
.
ในปีต่อมา (พ.ศ. 2533) อีกจำนวน 23 จังหวัด ประกอบด้วย ฉะเชิงเทรา (30 กรกฏาคม), นครพนม (31 กรกฏาคม), กำแพงเพชร (1 สิงหาคม), มหาสารคาม (4 สิงหาคม), สกลนคร (5 สิงหาคม), ยโสธร (6 สิงหาคม), นครราชสีมา (7 สิงหาคม), พะเยา (8 สิงหาคม), แพร่ (9 สิงหาคม), พิษณุโลก (10 สิงหาคม), นครปฐม (11 สิงหาคม), พิจิตร (13 สิงหาคม), เพชรบูรณ์ (14 สิงหาคม), ตราด (15 สิงหาคม), ศรีสะเกษ (16 สิงหาคม), นครนายก (17 สิงหาคม), กาญจนบุรี (18 สิงหาคม), ลพบุรี (19 สิงหาคม), ระนอง (21 สิงหาคม), ตรัง (23 สิงหาคม), ลำปาง (7 ตุลาคม), กาฬสิทธุ์ (8 ตุลาคม) และระยอง (15 ตุลาคม)
.
และในปี พ.ศ. 2534 อีกจำนวน 8 จังหวัด ประกอบด้วย ปราจีนบุรี (20 พฤษภาคม), สมุทรสาคร (22 พฤษภาคม), อ่างทอง (24 พฤษภาคม), สมุทรปราการ (4 กันยายน), ร้อยเอ็ด (5 กันยายน), จันทบุรี (10 กันยายน), นราธิวาส (11 กันยายน) และนครสวรรค์ (12 กันยายน)
.
หลังจากนั้นการเสด็จฯ ไปมอบพระพุทธนวราชบพิตร ก็ “ได้หยุดลงอีกครั้งเป็นระยะเวลายาวนานถึง 9 ปี” …. จนล่วงเข้าปี พ.ศ. 2543 สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ (รัชกาลที่ 10) จึงได้เสด็จฯ ไปทรงมอบพระพุทธนวราชบพิตรอีกครั้งที่จังหวัดสุโขทัย เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ 2543 อีก 1 จังหวัด
.
รวมถึงขณะนั้น (2543) มีจังหวัดที่ได้รับพระพุทธนวราชบพิตร ไปแล้วทั้งสิ้น 64 จังหวัด
.
หลังจากนั้นการเสด็จฯ ไปทรงมอบได้หยุดลงอีกครั้ง เป็นระยะเวลา 4 ปี …จนปี พ.ศ. 2548 พระองค์ (รัชกาลที่ 10) จึงได้ทรงเสด็จฯ ไปมอบพระพุทธนวราชบพิตร อีก 5 จังหวัด ประกอบด้วย ปัตตานี (3 กุมภาพันธ์), กระบี่ (30 กรกฏคม), พังงา (31 กรกฏาคม), ตาก (15 สิงหาคม) และขอนแก่น (21 สิงหาคม)
.
กาลเวลาล่วงมาอีก 6 ปี จนถึงในพ.ศ. 2554 … พระองค์ (รัชกาลที่ 10) จึงได้ทรงเสด็จฯ ไปทรงมอบพระพุทธนวราชบพิตร อีก 4 จังหวัด ประกอบด้วย อุตรดิตถ์ (10 พฤศจิกายน), ชัยภูมิ (18 พฤศจิกายน), ชุมพร (22 พฤศจิกายน) และสตูล (28 พฤศจิกายน)
.
ส่วนอีก 4 จังหวัดสุดท้าย … พระองค์ (รัชกาลที่ 10) ได้ทรงเสด็จฯ ไปมอบในปีถัดมา (พ.ศ. 2555) ประกอบด้วย อำนาจเจริญ (4 สิงหาคม), หนองบัวลำภู (6 สิงหาคม), สระแก้ว (8 สิงหาคม) และจังหวัดสุดท้ายที่ได้รับมอบพระพุทธนวราชบพิตร ก็คือ บึงกาฬ ในวันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2555 … ซึ่งน่าแปลกใจว่า บึงกาฬ นั้นเป็นจังหวัดที่ถูกจัดตั้งขึ้นมาใหม่เมื่อวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2554 โดยแยกออกมาจากจังหวัด หนองคาย ซึ่งก็คือจังหวัดแรกที่ในหลวง รัชกาลที่ 9 ได้ทรงเสด็จฯ ไปมอบพระพุทธนวราชบพิตรเมื่อ 45 ปีที่แล้ว !!!
.
ซึ่งตลอดระยะเวลา 45 ปีนั้น … อันเริ่มนับจากระหว่างปี พ.ศ. 2510 – 2516 (6 ปี) ที่ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช (รัชกาลที่ 9) ทรงเสด็จฯ ไปทรงมอบทั้งสิ้น 19 จังหวัด
.
ปี พ.ศ. 2525 ที่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาภในรัชกาลที่ 9 ทรงมอบให้กรุงเทพมหานคร (1 จังหวัด)
.
และระหว่างปี พ.ศ. 2528 – 2555 (27 ปี) ที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณฯ (รัชกาลที่ 10) ครั้งดำรงพระราชอิสริยศ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ เสด็จแทนพระองค์ไปทรงมอบอีก 57 จังหวัด
.
พระพุทธนวราชบพิตร จึงเป็นเสมือนตัวแทนขององค์พระมหากษัตริย์ กับปวงชนชาวไทยทั่วประเทศ เป็นนิมิตหมายแห่งคุณพระรัตนตรัย แทนความผูกพันระหว่างพระมหากษัตริย์กับพสกนิกรให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพื่อช่วยกันนำประเทศชาติไปสู่อนาคตที่สดใส ดั่งพระราชดำรัสตอนท้ายที่พระองค์ทรงกล่าวกับผู้มารับเสด็จในแต่ละจังหวัดเหมือนกัน ว่า
.
“ขออนุภาพแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย แห่งพระพุทธนวราชบพิตร ตลอดจนเทพพดาอารักษ์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวง จงปกป้องคุ้มครองท่านทั้งหลายให้มีความสุขสวัสดี ผ่องพ้นจากทุกข์โศกโรคภัยทุกประการ บันดาลความผาสุกร่มเย็น ความมั่นคงก้าวหน้า และความสมัครสมานสามัคคี ให้เกิดมีแก่ชาว…(ชื่อจังหวัด)… ทั่วหน้า ให้ทุกคนสามารถประกอบกิจการงานน้อยใหญ่สำเร็จลุล่วงได้ดั่งประสงค์ เพื่อประเทศชาติไทยจักได้มีความวัฒนาสถาวรตลอดกาลนาน”
.
.
ที่มาของข้อมูล … หนังสือ “พระพุทธนวราชบพิตร” … รัชกาลที่ 10 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พิมพ์พระราชทานในการพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลสตมวาร ถวายพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมราถบพิตร ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท พระบรมมหาราชวัง วันศุกร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2560
กชกร พวยไพบูลย์
ผู้สื่อข่าว ประจำจังหวัดสิงห์บุรี