กองทัพเรือและนาวิกโยธินของสหรัฐมุ่งผลักดันยุทธศาสตร์ “การปฏิบัติการรุกไปข้างหน้า” (‘campaigning forward’ strategy) ซึ่งมีความสำคัญต่อการยับยั้งจีนได้ในโอกาสแรก และถือเป็นเสาหลักของการปฏิบัติการในอนาคต ขณะที่กำลังเคลื่อนไปในทิศทางนี้แล้ว จากการใช้เสรีภาพในการเดินเรืออย่างต่อเนื่อง โดยจะเดินหน้าต่อไป
ทั้งนี้ นาวิกโยธินสหรัฐฯ ได้เผยแพร่แนวคิด “Stand-In Force” สำหรับปฏิบัติการในอนาคตเพื่อขัดขวางหรือเอาชนะจีนจากการป้องกันทางทะเลในเชิงลึก เพื่อให้ทางเลือกในการสนับสนุนการป้องปรามแบบบูรณาการ ซึ่งนาวิกโยธินสหรัฐฯ ที่ทำหน้าที่เป็นกองกำลังประจำตำแหน่งจะถูกวางตำแหน่งไปข้างหน้า เคียงบ่าเคียงไหล่กับพันธมิตรโดยใช้เครื่องมือทุกด้านในฐานะที่เป็นหูเป็นตาของกองทัพเรือและกองกำลังร่วม
สำหรับคำของบประมาณปี 2023 ของสหรัฐฯ ที่เผยแพร่เมื่อปลายเดือน มี.ค.65 จะทำให้กองเรือสหรัฐฯ ลดลงจาก 298 ลำในปัจจุบันเป็น 280 ลำในปีงบประมาณ 2027 (พ.ศ.2570) ซึ่งฝ่ายนิติบัญญัติเห็นพ้องต้องกันว่ากองทัพเรือสหรัฐฯ ต้องพร้อมที่จะเผชิญกับภัยคุกคามอันใกล้จากจีนเพื่อสร้างการยับยั้งที่น่าเชื่อถือ แม้จะลดขนาดกองเรือก็ตาม ด้วยการขยายขีดความสามารถของฐานอุตสาหกรรมเพื่อสร้างขีปนาวุธพิสัยไกลและความเร็วสูง อาทิ ขีปนาวุธโจมตีทางทะเล Tomahawk ขีปนาวุธ Standard Missile-6 1B ขีปนาวุธต่อต้านเรือพิสัยไกล และขีปนาวุธต่อต้านอากาศสู่พื้นผิวร่วม เป็นต้น ซึ่งจะทำให้กองทัพเรือมีขีดความสามารถในการปฏิบัติตามเป้าหมาย
สรุปโดย พลตรี ไชยสิทธิ์ ตันตยกุล
( ข้อมูลจากเว็บไซต์ https://www.defensenews.com/naval/2022/04/04/navy-marines-push-campaigning-forward-strategy-as-vital-to-deterring-china/ )
นำเสนอ/รายงาน
ว่าที่ พันตรี กรพด รุ่งหิรัญวัฒน์
ตำแหน่ง เลขาธิการ
สถาบันศึกษาพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและโครงการเส้นทางสายไหม
8/4/2022