(29 ม.ค.65)นายวัชระ เพชรทอง อดีตส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 28 ม.ค.65 เวลา 13.30 น. ตนพร้อมด้วยนายวิลาศ จันทร์พิทักษ์ อดีตส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ฟังศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ออกนั่งบัลลังก์ 708พิจารณาคดีหมายเลขดำที่ อท. 23/256 คดีหมายเลขแดงที่ อท.34 /2563 โดยตนเป็นโจทก์ฟ้องความอาญานายชัชวาล อภิบาลศรี จำเลย ดร.เกษม ศุภสิทธิ์ และว่าที่ร้อยตรีสุทธิศักดิ์ ประศาสน์ครุการ เป็นทนายความโจทก์ นายอังคาร เพ็ชรอาวุธ อัยการกองแก้ต่าง เป็นทนายจำเลย
ศาลนัดไต่สวนมูลฟ้องสืบพยานโจทก์ปากนางสาวชมนภัส อนุอัน พนักงานชวเลข จนจบปาก ระหว่างสืบพยาน ทนายโจทก์อ้างส่งเอกสารและวัตถุพยานเป็นพยาน ขณะที่ทนายจำเลยอ้างส่งเอกสารเป็นพยาน ศาลรับไว้แล้วให้แยกเก็บ ศาลให้นัดฟังคำสั่งหรือคำพิพากษาในวันที่ 3 มี.ค.65 เวลา 9.30 น. โดยแจ้งเหตุที่นัดนานเนื่องจากติดเรียงคำพิพากษาคดีอื่นและคู่ความไม่มีวันว่างตรงกัน
คดีนี้นายวัชระเป็นโจทก์ นายชัชวาล อภิบาลศรี สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และประธานคณะกรรมการเร่งรัดและติดตามโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ จำเลย ในความผิดตามป.อาญา ม.137และ 157 จากกรณีนายวัชระได้ตรวจสอบและชี้ข้อพิรุธพร้อมกับเปิดโปงงบประมาณของICT โครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ที่โป่งพองจาก3พันล้านบาทเป็น 8 พันล้านบาท ทำให้นายชัชวาลไม่พอใจ จึงไปฟ้องคดีที่ศาลอาญาในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา และเรียกค่าเสียหายจำนวนเงิน 100 ล้านบาท
ด้านนายวัชระได้ฟ้องนายชัชวาล ฐานจงใจแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่ออธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาว่า ไม่มีแถบบันทึกเสียง ไม่มีการจัดทำรายงานชวเลขของคณะกรรมการเร่งรัดและติดตามโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ เพื่อจะได้ไม่ต้องส่งแถบเสียง ชวเลข หรือรายงานการประชุมดังกล่าวต่อศาล ตามที่โจทก์ร้องขอเพื่อให้เป็นหลักฐานในการต่อสู้คดีดังกล่าว ซึ่งในการแจ้งข้อความเท็จนี้เป็นการปฏิบัติหรือละเว้นหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ ผู้อื่นหรือประชาชน หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
สำหรับฐานความผิด ม.137 ผู้ใดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ประมวลกฎหมายอาญา ม.157 บัญญัติว่า “ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่1 ปี ถึง 10 ปีหรือปรับตั้งแต่ 2,000 บาทถึง 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
นายวัชระ กล่าวว่าพยานเอกสารที่อ้างส่งศาลเพิ่มทั้งหมดได้รับตามหมายเรียกไปที่นางพรพิศ เพชรเจริญ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทั้งสิ้น ซึ่งแต่เดิมนางพรพิศส่งเอกสารตามหมายเรียกไม่ครบ เมื่อศาลออกหมายเรียกอีกครั้ง สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรจึงจำใจต้องส่งเอกสารตามหมายเรียกทั้งหมด โดยไม่กล้าไม่ส่งเอกสารอีกต่อไป เพราะเกรงว่าจะถูกฟ้องเช่นเดียวกับนายสรศักดิ์ เพียรเวช อดีตเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ประทับรับฟ้องนายสรศักดิ์เป็นจำเลยในข้อหาเดียวกับนายชัชวาลแล้ว