เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2564 : นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานเปิดงานเฉลิมฉลอง “วันที่ระลึกสากลแห่งการรู้หนังสือ” ประจำปี 2564 (International Literacy Day 2021) ภายใต้กรอบแนวคิด “การรู้หนังสือเพื่อการฟื้นคืนสู่การใช้มนุษย์เป็นศูนย์กลาง : การลดช่องว่างทางดิจิทัล” ผ่านรูปแบบออนไลน์ Zoom Cloud Meeting พร้อมด้วย นายกมล รอดคล้าย ที่ปรึกษ รมช.ศึกษาธิการ,นายสุภัทร จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ,นายกวินทร์เกียรติ นนท์พละ รองเลขาธิการ กพฐ.,นายวรัท พฤกษาทวีกุล เลขาธิการ (กศน.) ตลอดจนผู้บริหารองค์กรหลัก เข้าร่วม ณ ห้องประชุมชั้น 6 สำนักงาน (กศน.)
Mr.Shigeru Aoyagi ผู้อํานวยการองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) สำนักงานกรุงเทพฯ กล่าวตอนหนึ่งว่า “การรู้หนังสือเพื่อการฟื้นคืนสู่การใช้มนุษย์เป็นศูนย์กลาง : การลดช่องว่างทางดิจิทัล” เน้นไปที่ความสำคัญของการรู้หนังสือและทักษะดิจิทัล โดยเฉพาะในบริบทของการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก พบว่า ร้อยละ 46 ของเยาวชน และ ร้อยละ 61 ของผู้ใหญ่ยังไม่รู้หนังสือ ความไม่เท่าเทียมในการรู้หนังสือนี้ขยายวงกว้างขึ้น จากการระบาดของโรคโควิด 19 ส่งผลกระทบต่อกลุ่มคนไม่รู้หนังสือดังกล่าว ซึ่งขาดความเข้าใจและข้อมูลที่จำเป็นต่อชีวิตการพัฒนาศักยภาพจนกลายเป็นกลุ่มเปราะบางในทุกมิติ ทักษะทางด้านดิจิทัลจึงเป็นพื้นฐานสำคัญอย่างยิ่งที่จะนำไปสู่การสร้างแรงงานที่มีทักษะสำหรับธุรกิจใหม่ๆ ตามที่ตลาดต้องการ อย่างไรก็ตาม ช่องว่างทางดิจิทัลในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกยังคงดำเนินต่อไป โดยมีแค่เพียง 37% ของครัวเรือนในชนบทที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ต และทักษะด้าน ICT ของประเทศในภูมิภาคที่ได้รับการตรวจสอบ มีไม่ถึง 10% ขณะที่เรามุ่งหวังจะบรรลุเป้าหมาย 4 ของ SDG ในปี 2030 เราต้องเรียกร้องให้ประเทศดังกล่าว มั่นใจว่าจะทำให้กลุ่มเยาวชนและผู้ใหญ่ที่ไม่รู้หนังสือบรรลุเป้าหมายในเรื่องทักษะดิจิทัล
ซึ่งจะเป็นการผนวกรวมของความรู้และศักยภาพที่เหนือกว่าการรู้หนังสือขั้นพื้นฐาน ซึ่งจะช่วยให้เขาเหล่านั้นสามารถเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต และมีส่วนร่วมในสังคมได้เต็มศักยภาพ เพื่อตอบสนองความต้องการดังกล่าว สำนักงานยูเนสโก กรุงเทพฯ ยังคงมุ่งมั่นที่จะทำงานอย่างใกล้ชิดกับกระทรวงศึกษาธิการของประเทศไทย ตลอดจนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อความก้าวหน้าในการรู้หนังสือของกลุ่มเยาวชนและผู้ใหญ่ที่ไม่รู้หนังสือดังกล่าว และเพื่อลดช่องว่างด้านดิจิทัลในช่วงเวลาแห่งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยยูเนสโกกำลังดำเนินโครงการ “Accelerating Thailand” นำโดย Microsoft ประเทศไทย,สำนักงาน (กศน.) และภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อมุ่งสร้างทักษะด้านดิจิทัลให้แก่กลุ่มเยาวชนและผู้ใหญ่ดังกล่าว
นอกจากนี้ ยังได้พัฒนาหลักสูตร Online เรื่องทักษะดิจิทัลเพื่อการมีงานทำ โดยเผยแพร่ บนแพลตฟอร์มของการเรียนรู้ตลอดชีวิตของยูเนสโก ตลอดจนการริเริ่มโครงการ “Learning Coin” ที่ดำเนินการร่วมกับสำนักงาน (กศน.) และกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาที่ จ.แม่ฮ่องสอน,นครนายก,ยะลา และกรุงเทพฯ เพื่อมุ่งส่งเสริมการรู้หนังสือไทยในกลุ่มเยาวชน และบ่มเพาะนิสัยรักการอ่านเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต ทั้งยังช่วยจัดหาทุนการศึกษาที่ได้รับจากความพยายามในการอ่านเพื่อสร้างสมรรถนะด้าน ICT ของผู้เรียน
จากนั้น รมช.ศึกษาธิการ ได้อ่านสารจาก พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ความตอนหนึ่งว่า รัฐบาลได้ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาคุณภาพด้านการศึกษา ซึ่งจะช่วยพัฒนาศักยภาพและคุณภาพชีวิตของคนไทยในสังคมฐานความรู้ในโลกยุคดิจิทัล ท่ามกลางวิกฤตสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เป็นโอกาสและปัจจัยเร่งให้เกิดการพัฒนารูปแบบและวิธีการเรียนรู้ของผู้คน รวมทั้งทำให้การจัดการเรียนการสอนในแบบเดิมต้องปรับเปลี่ยนเป็นการเรียนการสอนแบบทางไกล เพื่อให้การเรียนรู้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง แต่ขณะเดียวกันก็ส่งผลกระทบต่อโอกาสในการเข้าถึงการเรียนรู้ของบางกลุ่มในสังคมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นเมื่อโลกเปลี่ยนแปลง รัฐบาลจึงเน้นการปรับระบบการศึกษาและการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับสังคมโลกยุคใหม่ เพื่อปรับเปลี่ยนช่องว่างทางดิจิทัล ให้เป็น “โอกาสทางดิจิทัล” อันจะช่วยสนับสนุนการรู้หนังสือของเยาวชนและประชาชนทั่วไปที่ไม่รู้หนังสือให้เป็นผู้รู้หนังสือ มีความฉลาดเท่าทันโลก โดยไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ดังนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกภาคส่วนต้องบูรณาการการดำเนินการร่วมกันให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมมากที่สุด
รมช.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า จากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างกว้างขวางครอบคลุมทุกประเทศทั่วโลก ต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือนธันวาคม 2562 เป็นต้นมา จนกระทั่งองค์การอนามัยโลก (World Health Organization : WHO) ได้ประกาศให้การระบาดนี้เป็นภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขระหว่างประเทศ และต่อมาได้ประกาศให้เป็นโรคระบาดที่เกิดการแพร่ระบาดทั่วโลก ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชีวิตของผู้คนในทุกด้านอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน นับเป็นความท้าทายครั้งใหญ่ของมนุษยชาติ รวมถึงประเทศไทยด้วย
สำหรับผลกระทบในด้านการศึกษาได้ก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงสารสนเทศและความรู้หรือความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล ที่เรียกว่า “Digital Divide” ที่เกิดช่องว่างมากขึ้นระหว่างประชาชนกลุ่มที่มีความพร้อมและกลุ่มที่ไม่มีความพร้อมทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประชาชนกลุ่มเปราะบางหรือด้อยโอกาสในมิติต่างๆ
ในมิติของโลกแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตที่วางอยู่บนพื้นฐานของการอ่านออก เขียนได้ และคิดเลขเป็น (การรู้หนังสือและการพึ่งพาตนเองได้) ย่อมไม่เป็นการเพียงพออีกต่อไป รัฐบาลโดยหน่วยงานทางการศึกษาที่เกี่ยวข้องจึงได้พยายามมองหาโอกาสในวิกฤต เพื่อสร้างสังคมใหม่ที่ดีขึ้น โดยอาศัยการรู้หนังสือที่มีเนื้อหาการเรียนรู้เกี่ยวกับการใช้ชีวิตเพื่อการอยู่รอด ตามแนววิถีชีวิตใหม่ New Normal และการเรียนรู้ที่มองและก้าวไปข้างหน้าหลังสิ้นสุดวิกฤตโควิด-19
ต้องขอบคุณภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการส่งเสริมการรู้หนังสือให้กับประชาชน และมีส่วนร่วมในการจัดงานเฉลิมฉลอง “วันที่ระลึกสากลแห่งการรู้หนังสือ” ประจำปี 2564 ในวันนี้ ขอเชิญชวนให้คนไทยทุกคนเรียนรู้การใช้ชีวิตร่วมกันตามวิถีชีวิตใหม่ เพื่อนำพาสังคมไทยให้ปลอดภัยจากภัยพิบัติการแพร่ระบาดของโควิด-19 ลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงสารสนเทศและความรู้ ร่วมกันสร้างสังคมใหม่ที่ดีขึ้นต่อไป
“ขอเป็นกำลังใจให้ชาว (กศน.) ทุกคนที่อยู่ทุกพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ห่างไกลหรือตามเกาะแก่ง ทุกคนได้มีส่วนร่วมในการส่งเสริมให้คนไทยและคนที่อยู่ในผืนแผ่นดินไทยมีส่วนที่รู้หนังสือมากยิ่งขึ้น การรู้หนังสือไม่ใช่เพียงการอ่านหนังสือออก ยังรวมถึงการเรียนรู้ทุกช่องทาง ไม่ใช่เพียงแค่ภาษาไทยยังรวมถึงภาษาอื่นๆที่จะทำให้เกิดการเรียนรู้ เกิดการเสริมทักษะและจะทำให้สามารถอยู่รอดได้ในทุกสถานการณ์ โดยเฉพาะในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งในปัจจุบันส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต ทั้งด้านเศรษฐกิจและการดำเนินชีวิตในทุกด้าน รวมทั้งสุขภาพอนามัยต่างๆ โดยชาว (กศน.) ที่ทำงานอยู่ในพื้นที่ด้วยความเสียสละ ทุ่มเท และอุทิศตนเองทำงานอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดผลงานดีๆมากมาย ทั้งในเรื่องการให้บริการในพื้นที่ชุมชน แม้กระทั่งการให้บริการในครัวเรือนที่ต้องการดูแลเป็นพิเศษ ชาว (กศน.) เรามีหัวใจที่งดงามและไม่เคยท้อและที่สำคัญมีการพัฒนาและต่อยอดองค์ความรู้ของตนเอง ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมและนำไปเผยแพร่ความรู้ให้กับประชาชน และสร้างความศรัทธาจนเป็นที่รักของประชาชนในทุกพื้นที่”
อานนท์ วิชานนท์/สรุป
ปรานี บุญยรัตน์/ภาพ
ข้อมูลผู้อํานวยการองค์การ UNESCO สำนักงานกรุงเทพฯ/สำนักงาน (กศน.)
สุรเชษฐ ศิลานนท์ รายงาน