เมื่อวันที่ 28 กันยายน ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก นัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีขายไตตามที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 8 เป็นโจทก์ และนางหนูแดง ดีโยธา กับนายเจริญ ดีโยธา มารดาและบิดาของน.ส.ลัดดา ดีโยธา เป็นโจทก์ร่วม ยื่นฟ้องนพ.สิโรจน์ กาญจนปัญจพล อดีตผู้อำนวยการ รพ.วชิรปราการ จ.สมุทรปราการ นพ.วีระเดช เลิศดำรงลักษณ์ ศัลยแพทย์ นายนันทวิทย์ ธงไชย อดีตผู้จัดการ รพ.วชิรปราการ และนพ.วิวัฒน์ ถิระพานิช ศัลยแพทย์ เป็นจำเลยที่ 1-4 ความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม
สืบเนื่องจากคดีนี้อัยการโจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2545 ระบุความผิดว่า ระหว่างวันที่ 24-26 กุมภาพันธ์ 2540 เวลากลางวัน จำเลยร่วมกันปลอมเอกสารหนังสืออุทิศให้อวัยวะรพ.วชิรปราการ โดยให้นายเจริญ ดีโยธาและนายสมเกียรติ ตันชนะชัย พ่อและสามีของน.ส.ลัดดา ดีโยธา ผู้ป่วยอุบัติเหตุรถชนลงรายมือชื่อไว้ ต่อมาจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 4 ร่วมกันผ่าตัดเอาไตทั้งสองข้างและตับของคนไข้ออกไป และจำเลยที่ 1-2 ยังร่วมกันผ่าตัดเอาไตของนางนาง นงค์พรมมา ผู้ป่วยอุบัติเหตุรถชนออกไป ขณะที่คนไข้ทั้งสองยังใส่เครื่องช่วยหายใจและยังไม่ถึงแก่ความตาย เพื่อนำไปปลูกถ่ายอวัยวะให้ผู้ป่วยรายอื่น เป็นเหตุให้คนไข้ทั้งสองถึงแก่ความตาย หลังเกิดเหตุ ญาติของคนไข้ที่เสียชีวิตเข้าร้องเรียนต่อตำรวจกองปราบปรามให้ดำเนินคดี จำเลยให้การปฏิเสธ
ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2548 ให้ยกฟ้องจำเลยทั้งหมด เนื่องจากเห็นว่า แม้หนังสืออุทิศอวัยวะจะเติมข้อความด้วยลายมือว่า “ตับ” ลงในเอกสาร แต่พยานโจทก์ไม่ได้ยืนยันในรายละเอียดว่าเหมือนลายมือจำเลยที่ 1 จึงมีข้ออันควรสงสัยว่าจำเลยที่ 1 จะเป็นผู้เขียนข้อความดังกล่าวหรือไม่ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยที่ 1ข้อหาปลอมและใช้เอกสารปลอม
ส่วนข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานนำสืบให้เห็นได้ว่ามีการใช้ยาหรือทำโดยประการใดๆ ของพวกจำเลย จนทำให้คนไข้ทั้งสองแกนสมองตายโดยเจตนา ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้เพียงว่า คนไข้ทั้งสองถึงแก่ความตายแล้ว ก่อนผ่าตัดนำอวัยวะ ไตและตับ ออกไป
อัยการโจทก์ ยื่นอุทธรณ์ต่อมาวันที่ 23 กันยายน 2553 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนยกฟ้องจำเลยตามศาลชั้นต้น อัยการโจทก์และโจทก์ร่วมยื่นฎีกา ขอให้ลงโทษพวกจำเลยตามความผิดด้วย
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันโดยละเอียดแล้วเห็นว่า โจทก์ร่วมฎีกาถึงปัญหาการเสียชีวิตตามกฎหมาย ซึ่งศาลเห็นว่า การตายตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ต้องเป็นการทำให้ตาย แต่ก็ไม่มีกฎหมายใดบัญญัติลักษณะการตายไว้ชัดแจ้ง จึงต้องให้แพทย์เป็นผู้วินิจฉัย ซึ่งแพทยสภาออกประกาศเกี่ยวกับการวินิจฉัย โดยมีประเด็นเรื่องแกนสมองถูกทำลายจนไม่สามารถทำให้ระบบหัวใจทำงานได้และร่างกายขาดออกซิเจน หากขาดเครื่องช่วยหายใจ ร่างกายจะขาดการตอบสนอง ซึ่งกรณีของผู้ป่วยทั้งสอง แพทย์ตรวจถึง 2 ครั้งทั้งช่วงเวลาห่างกัน 10 ชั่วโมงพบว่าผู้ป่วยไม่หายใจทั้งสองครั้ง จึงลงความเห็นในบันทึกว่าแกนสมองถูกทำลายโดยสิ้นเชิง และก่อนผ่าตัดอวัยวะ วิสัญญีแพทย์ตรวจแล้วผู้ตายไม่หายใจ การที่จำเลยที่ 1 ,2 และ 4 ร่วมกันผ่าตัดเอาไตออกจากผู้ตายทั้งสองที่อยู่ในสภาวะสมองตายตามการวินิจฉัยของแพทย์ ตามหลักเกณฑ์ของแพทยสภา ถือเป็นการกระทำต่อคนตายแล้ว จึงไม่อาจถือเป็นการฆ่าได้อีก ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้อัยการโจทก์และโจทก์ร่วมไม่ได้เดินทางมาศาล คงมีนพ.สิโรจน์ และจำเลยอื่นเดินทางมาฟังคำพิพากษา โดยนพ.สิโรจน์ปฏิเสธให้ความเห็นเกี่ยวกับคดี มีเพียงทนายความที่กล่าวว่า หมอพิสูจน์แล้วว่าสิ่งที่ทำถูกต้อง เพราะหมอเรียนมาเพื่อช่วยชีวิตคน ไม่ใช่ทำร้ายคน 20 ปีที่ผ่านมาหมอก็เป็นทุกข์ แต่ศาลให้ความยุติธรรมแล้ว
ขณะที่นพ.วีระเดช กล่าวเพียงสั้นๆว่า เรียบร้อยดี ก่อนเดินทางกลับไป