“ฮิลลารี”ชนะ!
ดีเบตยกแรกชิงปธน.สหรัฐ
โกยเรตติ้งทิ้งห่าง”ทรัมป์”
2ฝ่ายงัดข้อมูลโต้กันดุเดือด
ทั้งเรื่องปกปิดภาษี-ป่วย-แก่
ในการโต้วิสัยทัศน์ครั้งแรกระหว่างนางฮิลลารี คลินตัน ตัวแทนชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรคเดโมแครต และนายโดนัลด์ ทรัมป์ตัวแทนจากพรรคริพับลิกัน เมื่อเวลา 21.00 น.ของวันจันทร์ที่ผ่านมาตามเวลาท้องถิ่น หรือตรงกับเวลา 08.00 น. วันที่ 27 กันยายน ตามเวลาในประเทศไทย ทั้งคู่ได้แสดงวิสัยทัศน์ในหลากหลายประเด็นทั้งด้านนโยบายต่างประเทศ, ความมั่นคง, เศรษฐ กิจ, การเกิดของประธานาธิบดี บารัค โอบามาแห่งสหรัฐ รวมถึงเรื่องภาษีของนายทรัมป์และอีเมล์ส่วนตัวของนางคลินตัน
โดยนางคลินตันกล่าวหานายทรัมป์ว่ากำลังปกปิดข้อมูลการจ่ายภาษีและข้อตกลงธุรกิจของเขาไว้เป็นความลับ ไม่ให้ประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งรับรู้
ขณะที่นายทรัมป์ตอบโต้ว่า เขาจะเปิดเผยข้อมูลภาษีของตน หากนางคลินตันกู้อีเมล์กว่า 30,000 ฉบับ ที่ใช้ผ่านทางอีเมล์ส่วนตัวขณะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่าง ประเทศสหรัฐ ซึ่งตามกฎระเบียบแล้วนางคลินตันต้องใช้อีเมล์กลางสำหรับทำงานไม่ใช่อีเมล์ส่วนตัว นอกจากนั้น ยังกล่าวย้ำว่าเขาไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลภาษีของตนเอง เพราะอยู่ระหว่างการตรวจสอบ แม้ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีเคยระบุว่าไม่มีเหตุ ผลที่นายทรัมป์จะไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลภาษีต่อสาธารณชนขณะการตรวจสอบได้ ส่วนนางคลินตันแสดงความสำนึกผิดต่อเรื่องการใช้อีเมล์ส่วนตัวและบอกว่ามันคือความผิดพลาด แต่นายทรัมป์โต้ว่ามันเป็นมากกว่าความผิดพลาด
นางคลินตันยังได้ประณามนายทรัมป์ว่า ทำการเหยียดผิวด้วยการโกหกเรื่องการเกิดของนายโอบามา โดยก่อนหน้านี้ นายทรัมป์กล่าวหาว่านายโอบามาไม่ได้เกิดบนผืนแผ่นดินสหรัฐ แต่ก็ออกมายอมรับภายหลังว่านายโอบามาเกิดในสหรัฐ ซึ่งนายทรัมป์เผยว่า ภูมิใจที่กดดันให้นายโอบามายอมเปิดเผยใบเกิด แต่นางคลินตันทำไม่ได้ นอกจากนั้นนายทรัมพ์ยังกล่าวถึงกรณีที่คนผิวสีถูกตำรวจอเมริกัน ยิงเสียชีวิตอย่างต่อเนื่องว่า ขณะนี้ชาวแอฟริกัน-อเมริกันและชาวฮิสแปนิคกำลังตกนรก เพียงแค่เดินอยู่บนถนนก็ถูกยิง
ผู้สมัครทั้งคู่ยังพูดถึงเรื่องอนาคตของประเทศ โดยนางคลินตันมีนโยบายลดภาษีให้ชนชั้นกลาง เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ เพิ่มงบประมาณโครงสร้างพื้นฐานและรับประกันค่าจ้างที่เท่าเทียมกันสำหรับผู้หญิง ขณะที่นายทรัมป์พุ่งประเด็นไปที่เรื่องการเจรจาข้อตกลงการค้า และยืนยันว่า เขาสามารถสร้างงานให้ชาวอเมริกันได้ แต่นางคลินตันทำไม่ได้ ขณะที่นางคลินตันอ้างว่าจะสร้างงาน 10 ล้านตำแหน่ง แต่นายทรัมพ์จะสร้างงาน 3.5 ล้านตำแหน่ง
ส่วนในเรื่องการต่างประเทศ นายทรัมป์กล่าวหาว่านางคลินตันมีแนวคิดเดียวกับประธานาธิบดีโอบามา โดยเฉพาะเรื่องข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน ซึ่งเรื่องดังกล่าวจะเป็นการติดเขี้ยวเล็บให้อิหร่านกลายเป็นชาติมหาอำนาจและคู่แข่งของสหรัฐ และวิจารณ์พันธมิตรนาโต้ว่า มีสมาชิกหลายประเทศที่จ่ายงบประมาณทางทหารน้อยกว่าสหรัฐ ซึ่งเป็นเรื่องที่รบกวนใจเขา รวมถึงยืนยันว่าเขาไม่ได้สนับสนุนสงครามอิรักตามที่ถูกครหา และเขายังต้องการหาผู้รับผิดชอบต่อกรณีการแผ่อิทธิ พลของกลุ่มรัฐอิสลามหรือไอเอส โดยนายทรัมป์โทษว่านายโอบามาตัดสินใจถอนทหารจากตะวันออกกลางเร็วเกินไปและล้มเหลวในการนำน้ำมันออกจากเงื้อมมือของกลุ่มไอเอสในอิรักและซีเรีย ขณะที่นางคลินตันประกาศว่าจะทำทุกอย่างเพื่อโค่นล้มกลุ่มไอเอส
นอกจากนั้น นายทรัมป์ยังระบุด้วยว่า สหรัฐไม่สามารถเป็นตำรวจโลกได้อีกต่อไป และแม้นางคลินตันจะมีประสบการณ์มาก แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่เลวร้าย
อย่างไรก็ตามท้ายที่สุดแล้ว ทั้งสองฝ่ายยืนยันว่าจะสนับสนุนกันและกัน หากตัวเองพ่ายแพ้การเลือกตั้งประธานาธิบดี ในวันที่ 8 พฤศจิกายนนี้ สำหรับศึกโต้วิสัยทัศน์รอบ 2 และ 3 จะมีขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 9 ตุลาคมและพุธที่ 19 ตุลาคมตามเวลาท้องถิ่น
ล่าสุดผลสำรวจที่ซีเอ็นเอ็นและโออาร์ซีจัดทำขึ้นหลังการโต้วิสัยทัศน์ชี้ว่านางคลินตันชนะในรอบแรกด้วยคะแนนร้อยละ 62 ต่อ 27 และยังมีผู้ไม่ตัดสินใจอีกร้อยละ 17
ด้านตลาดเงินวานนี้ เงินเยนญี่ปุ่นอ่อนค่าลง และเงินเปโซแข็งค่า ชี้ให้เห็นว่านางคลินตัน มีคะแนนนำเหนือนายทรัมป์ เพราะนักลงทุนเชื่อว่าหากทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดี จะส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่น
ขณะที่ในโลกออนไลน์ ก็พบว่าผู้ใช้งานกูเกิลในสหรัฐให้ความสนใจต่อการดีเบตของผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐเช่นเดียวกัน โดยมีการค้นหาชื่อนางคลินตันมากที่สุดในวันนี้ เช่นเดียวกับผู้ใช้งานทวิตเตอร์ซึ่งทวีตข้อความเกี่ยวกับผู้สมัครชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีทั้งสองคนมากเป็นพิเศษในระหว่างที่มีการดีเบต โดยเฉพาะนายทรัมป์ที่ทำท่าสูดจมูกตลอดเวลาดีเบต 90 นาทีทำให้ทวิตเตอร์เกิดแฮชแท็กหรือคำลงท้ายเพื่อแสดงหัวข้อเรื่องว่า #Trumpsniffleและกลายเป็นกระแสทันที
นอกจากนี้ยังเกิดชื่อบัญชีล้อเลียนอย่าง @TrumpsSinuses และ @TrumpSniff หลายคนฉวยโอกาสนำเรื่องนี้มาวิจารณ์ทรัมป์ที่มักย้ำเรื่องสุขภาพของนางคลินตันวัย 68 ปี ว่าไม่แข็งแรงพอจะเป็นประธานาธิบดี เพราะหน้ามืดขณะเข้าร่วมพิธีรำลึกถึงเหยื่อเหตุวินาศกรรม 11 กันยายนในปีนี้ ด้านคนสนิทยืนยันว่า ทรัมป์ไม่ได้เป็นหวัด ทวิตเตอร์ระบุว่า ดีเบตครั้งนี้เป็นช่วงเวลาการเมืองที่มีคนทวีตข้อความมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา ประเด็นที่คนทวีตมากที่สุดได้แก่ เศรษฐกิจ การต่างประเทศ พลังงาน-สิ่งแวดล้อม การก่อการร้าย และปืน