(12 ส.ค.64) นายวัชระ เพชรทอง อดีตส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง กรณีที่ตนเป็นโจทก์ฟ้องนายชัชวาลย์ อภิบาลศรี อดีตประธานคณะกรรมาธิการติดตามเร่งรัดการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ จำเลย คดีอาญาหมายเลขคดีดำที่ อท 23/2563 คดีอาญาหมายเลขคดีแดงที่ อท 34/2564 ซึ่งศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตฯมีคำพิพากษาแก้เป็นว่า ให้ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องในความผิดตามป.อาญา ม.137 และ 157 โดยนัดพร้อมที่ห้อง 702 ศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบกลางเมื่อวันที่ 11 ส.ค.64 เวลา 9.30 น. ปรากฏว่า นายชัชวาลย์ จำเลยได้ส่งผู้รับมอบอำนาจมาขอเลื่อนคดีโดยอ้างว่ายังหาทนายความไม่ได้ แต่ศาลสั่งไม่ให้เลื่อนคดีและให้พิจารณาตามกำหนดนัด โดยนัดตรวจสอบและรวบรวมพยานหลักฐานของเจ้าพนักงานคดีวันจันทร์ที่ 14 ก.ย.64 นัดตรวจสอบพยานหลักฐานของศาลวันที่ 12 ต.ค. 64 เวลา 9.30 น.และวันที่ 11 พ.ย. 64 เวลา 9.00-16.00 น. นัดไต่สวนมูลฟ้อง 5 ปาก
สำหรับคดีนี้นายชัชวาลย์ อภิบาลศรี อดีตประธานคณะกรรมาธิการติดตามเร่งรัดการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ถูกนายวัชระ เพชรทอง อดีตส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ตรวจสอบและชี้ข้อพิรุธของโครงการ เป็นเหตุให้นายชัชวาลย์ ไม่พอใจจึงไปฟ้องคดีที่ศาลอาญากับนายวัชระ ในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา และเรียกค่าเสียหายจำนวนเงิน 100 ล้านบาท ซึ่งนายวัชระได้ขอให้นายชวน หลีกภัย อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มาเป็นคนกลางไกล่เกลี่ย แต่นายชัชวาลย์ แจ้งว่า ไม่ประสงค์จะเจรจา ซึ่งมาทราบภายหลังว่า นายชัชวาลย์ เป็นเพื่อนสนิทกับ นายชวน ตั้งแต่สมัยเรียน อนึ่ง นายชัชวาลย์ เป็นสมาชิกวุฒิสภา ที่มาจากการแต่งตั้งของคณะทหารถึง 6 สมัย กว่า 24 ปี แต่ไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาครั้งล่าสุด.
ต่อมานายวัชระ ได้ฟ้องนายชัชวาลย์ ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม. 137 ,157 จงใจแจ้งความเท็จว่าไม่มีการจดบันทึกการประชุมของคณะกรรมการเร่งรัดและติดตามโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ เพื่อจะได้ไม่ต้องส่งแถบเสียง ชวเลข หรือรายงานการประชุมดังกล่าวต่อศาล ตามที่โจทก์ร้องขอเพื่อให้เป็นหลักฐานในการต่อสู้คดีดังกล่าว ซึ่งในการแจ้งข้อความเท็จนี้เป็นการปฏิบัติหรือละเว้นหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ ผู้อื่นหรือประชาชน หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ซึ่งหากศาลพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามม.137 ผู้ใดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนม. 157 บัญญัติว่า “ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่1-10 ปีหรือปรับตั้งแต่ 2,000 -20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ติดตามได้ช่องทางFB
https://www.facebook.com/Watchara.Petthong.DemocratTH/