“ฉันไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร แต่เชื่อมั่นว่าตราบใดที่ฉันยังมีธรรมะและคิดดีทำดีแบบนี้ ชีวิตจะไม่มีวันหวนกลับไปทุกข์อีก ขอบคุณความทุกข์ที่ทำให้ฉันเข้มแข็งและมีวันนี้ได้ในที่สุด ”
ย้อนกลับไปเมื่อยี่สิบปีก่อน ”อุ้ยอ้าย อัครณี แดงใส” หรือ ”ชฎาธร แดงใส” ได้ชื่อว่าเป็นนางแบบเซ็กซี่ระดับแนวหน้าของเมืองไทย ชื่อเสียงเงินทองประดังเข้ามาหาเธอไม่ขาดสาย ก่อนมีข่าวว่าเธอติดยาเสพติดซึ่งทำให้หมดอนาคตในวงการบันเทิงไปอย่างน่าเสียดาย
จากวันนั้นถึงวันนี้ อุ้ยอ้ายผ่านมรสุมชีวิตมานับไม่ถ้วน ทั้งตกงาน ถูกเพื่อนยกเค้า กลายเป็นสาวไซด์ไลน์ เป็นพนักงานร้านอาหาร แม่บ้านห้างสรรพสินค้า ฯลฯ เรียกว่าชีวิตเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ
แต่แม้ชีวิตหนักหนาเพียงไร เธอบอกว่ายังดีใจที่ได้เห็นทุกข์ “เพราะถ้าไม่ทุกข์ ก็ไม่เห็นธรรมะ” วันร้ายและวันใหม่ของเธอเป็นอย่างไร ซีเคร็ต มีคำตอบ
วันวานของนางแบบดัง
ฉันเกิดมาในครอบครัวที่มีอาชีพทำไร่ข้าวโพดในอำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรีคุณย่าเล่าให้ฟังว่า ตอนฉันอายุได้แค่หนึ่งเดือนครอบครัวก็ถูกโจรปล้นบ้าน คงเพราะโจรเห็นว่าเพิ่งขายข้าวโพดได้เงิน วันที่โจรปล้นบ้านมีคนได้ยินเสียงปืนแต่ไม่มีใครกล้าเข้ามาช่วย สุดท้ายแม่ถูกโจรยิงเสียชีวิตขณะที่ยังกอดฉันไว้แนบอก สันนิษฐานว่าแม่กำลังให้นมฉันอยู่แล้วถูกโจรย่องเข้ามายิงข้างหลัง วันนั้นฉันรอดตายอย่างปาฏิหาริย์ ส่วนพ่อถูกโจรยิงได้รับบาดเจ็บ ไม่นานหลังจากนั้นพ่อก็ออกไปตามหาโจรเพื่อล้างแค้น แล้วก็หายสาบสูญไปจนถึงวันนี้ ไม่มีใครรู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร
ชีวิตวัยเด็กของฉันจึงเติบโตมาอย่างเด็กกำพร้า อาเป็นคนเลี้ยงดูมา ท่ามกลางเสียงคนรอบข้างที่กรอกหูให้ได้ยินเป็นประจำว่า “ลูกไม่มีพ่อไม่มีแม่” ในวันที่เด็กคนอื่นมีพ่อแม่เคียงข้าง ฉันกลับไม่มีใคร จนบางครั้งอดน้อยใจลึก ๆ ไม่ได้ ฉันพยายามทำใจและอยู่อย่างเจียมเนื้อเจียมตัวมาโดยตลอด
อาที่รับเลี้ยงดูฉันไม่ได้มีฐานะดีนักเผอิญว่าตอนอามาเรียนตัดเสื้อผ้าที่กรุงเทพฯ แล้วเช่าบ้านอยู่ คุณป้าเจ้าของบ้านเช่ามีฐานะจึงช่วยรับฉันไปเลี้ยงดู ภายหลังก็แนะนำให้ญาติของเขาที่ไม่มีลูกรับฉันไปเป็นบุตรบุญธรรมตอนฉันเรียนอยู่ ป.2 หลังจากเป็นลูกบุญธรรมได้สักพัก แม่บุญธรรมก็ตั้งครรภ์ ฉันกลายเป็นหมาหัวเน่าจากเดิมที่เลี้ยงดูอย่างลูก ก็เริ่มเปลี่ยนสถานะมาเป็นกึ่ง ๆ คนรับใช้ ต้องทำงานบ้านเหมือนคนรับใช้และเป็นพี่เลี้ยงช่วยดูแลน้องที่เพิ่งเกิด
แม้อึดอัดกับสถานการณ์ในบ้าน แต่เมื่อไม่มีทางไป ฉันก็ต้องยอมทน กระทั่งทนไม่ไหวจริง ๆ จึงขอกลับมาอยู่กับอา โดยที่อาก็ไม่เต็มใจนัก ช่วงที่กลับมาอยู่กับอา ฉันกำลังเรียนอยู่ชั้น ม.3 และเริ่มมีงานวงการบันเทิง เช่นเล่นมิวสิควิดีโอของวง สาว สาว สาว แต่ฝ่ายปกครองของโรงเรียนไม่ชอบ เรียกไปตักเตือนพอโดนอาจารย์ตำหนิก็อายเพื่อน รู้สึกว่าเราทำอะไรก็ผิดไปหมด จึงไม่ค่อยมีความสุขกับการเรียนหนังสือมากนัก
หลังเรียนจบ ม.3 อาเห็นว่าถ้าเรียนสายอาชีพน่าจะหางานได้ง่ายกว่า จึงให้ไปสอบเข้าเรียน ปวช.ที่โรงเรียนพาณิชย์แห่งหนึ่งย่านบางนา ช่วงที่เรียน ปวช.ได้งานทำเป็นฝ่ายการตลาดที่บริษัทอสังหาริมทรัพย์แห่งหนึ่งได้เงินเดือนห้าพันบาทซึ่งถือว่าเยอะมากในตอนนั้น จึงตัดสินใจไม่เรียนต่อ ลาออกมาทำงานประจำเต็มตัวและย้ายออกมาอยู่ข้างนอกคนเดียว อาโกรธมาก แต่ฉันไม่สนใจ คิดว่าปีกกล้าขาแข็ง เลี้ยงตัวเองได้ จึงไม่แคร์ใคร
ต่อมาก็มีแฟนทำงานเบื้องหลังวงการบันเทิง เขาเห็นฉันไปเล่นเป็นตัวประกอบละครหน่วยก้านใช้ได้ จึงแนะนำให้ไปสมัครโม-เดลลิ่ง พอไปแคสต์งานก็เริ่มได้งานถ่ายโฆษณาโฆษณาที่ฉันจำได้ดีคือ โฆษณาโปรโมชั่น
ฝาน้ำอัดลมยี่ห้อหนึ่ง ช่วงแรกเป็นแค่ตัวเอกซ์ตร้าอยู่ด้านหลังคนอื่น ภายหลังทีมงานเลือกให้เป็นตัวหลัก หลังจากนั้นก็มีงานถ่ายแบบ ถ่ายโฆษณาเข้ามาเรื่อย ๆ จึงเริ่มทำงานวงการบันเทิงจริงจังตั้งแต่นั้นมา
วันรุ่ง - วันดับในวงการบันเทิง
ฉันแจ้งเกิดในวงการบันเทิง เมื่อทำงานเป็นนางแบบให้งานเปิดตัวเครื่องสำอาง ซึ่งต้องการนางแบบเพื่อมาเพ้นต์ทั้งตัวโดยใส่แต่กางเกงในจีสตริงและเดินแบบบนแคตวอล์คคนฮือฮามาก ถือว่างานประสบความสำเร็จอย่างสูง
ฉันจึงเริ่มมีชื่อเสียงในฐานะนางแบบเซ็กซี่ ทำให้เริ่มมีงานแนวเซ็กซี่เข้ามาเรื่อย ๆ เช่น งานถ่ายมิวสิควิดีโอคาราโอเกะ ถ่ายโฟโต้อัลบั้ม ถ่ายปฏิทินน้ำมัน
เวลานั้นฉันมีทั้งชื่อเสียงและเงินทองมีเงินเก็บในธนาคารเป็นล้าน ๆ แต่ไม่รู้จักเก็บเงิน อาจเพราะเรียนมาน้อยทำให้ไม่รู้จักจัดระบบชีวิต ไม่รู้จักรักษาเงินทองที่ได้มาได้เงินมาเท่าไหร่ก็ใช้สนองความอยาก อยากซื้ออะไรก็ซื้อ อยากกินอะไรก็กิน เที่ยวเยอะแถมยังเลิกกับแฟนที่ดีแสนดี แล้วไปคบกับดาวร้ายชื่อดัง ช่วงนี้เองที่ฉันหมดเงินไปเยอะมาก เพราะความที่รักแฟนก็มีแต่ให้เขาตลอดจนแฟนนอกใจไปมีคนอื่น จึงตัดสินใจเลิกกับเขา พอจะกลับไปหาแฟนเก่า เขาก็ไม่ยอมคืนดีด้วย
ในช่วงที่งานวงการบันเทิงไปได้สวยชีวิตส่วนตัวกลับเริ่มดิ่งลงเหวเรื่อย ๆ ฉันหารายได้พิเศษด้วยการ รับจ้างกินข้าว กับนักธุรกิจและนักการเมืองชื่อดังหลายคน บางเวลาก็มีเสี่ยคอยส่งเงินให้ใช้นอกจากนั้นยังถลำตัวไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด เพราะมีเพื่อนแนะนำว่าช่วยลดความอ้วนได้ พอหมดฤทธิ์ยา ฉันรู้สึกทรมานอยากเสพยาอีก จึงติดยาโดยไม่รู้ตัว
วันหนึ่งฉันไปเอายาจากเพื่อนแล้วไปเที่ยวผับต่อทั้งที่ยังมียาอยู่ในกระเป๋า เมื่อตำรวจบุกตรวจยาที่ผับแห่งนั้นพอดี ทำให้เจอยาในกระเป๋าของฉัน วันต่อมาจึงกลายเป็นข่าวพาดหัวว่า “อุ้ยอ้าย นางแบบเซ็กซี่ถูกตำรวจจับเจอยาอี”
อาชีพในวงการบันเทิงของฉันจึงจบลงโดยปริยายเวลานั้นฉันเหมือนคนไม่มีที่ไป ไม่รู้จะทำอะไรต่อดี ตื่นนอนขึ้นมา สมองตื้อไปหมด ไม่รู้ว่าชีวิตจะเดินไปทางไหนต่อไม่มีใครเคียงข้างให้คำปรึกษา
ระหว่างถูกดำเนินคดีในชั้นศาล เจอคนโทร.เข้ามาข่มขู่ให้ไปหลับนอนกับคนที่มีชื่อเสียง เพื่อแลกกับความช่วยเหลือเรื่องคดีความ ฉันรู้สึกเหมือนผีซ้ำด้ำพลอยในเวลาที่ย่ำแย่ที่สุด คนเหล่านั้นก็ยังจ้องเอาเปรียบ เหมือนตกนรกทั้งเป็น แต่ยังโชคดีที่มีคนเข้ามาช่วยโดยไม่ได้หวังอะไรตอบแทน
แม้คดีความสิ้นสุดลง ทว่าชีวิตหลังจากนั้นไม่ได้ง่ายเลย เพราะต้องเจอมรสุมชีวิตซ้ำแล้วซ้ำเล่า ชีวิตเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ
ใครจะเชื่อว่าจากนางแบบเซ็กซี่ชื่อดังต้องตกอับไปเป็นสาวไซด์ไลน์หรือดาวตกอ่างกระทั่งตัวเองก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเช่นกัน
หลังจากถูกตำรวจจับเพราะมียาเสพติดไว้ในครอบครอง ชีวิตในวงการบันเทิงก็จบสิ้นฉันกลายเป็นคนตกงาน ไม่มีเงินใช้อู้ฟู่เหมือนเก่า ชีวิตเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงในช่วงที่ชีวิตย่ำแย่ที่สุดนี่เอง ฉันยังถูกเพื่อนสนิทหักหลังด้วยการขโมยของไปโดยไม่รู้ตัว
สาวประเภทสองคนนี้เป็นเพื่อนสนิทที่ฉันไว้ใจมากแต่กว่าจะรู้ตัวก็เมื่อพระที่ฉันนับถือโทร.มาบอกว่า เพื่อนคนนี้มาขออาศัยนอนที่วัดแล้วไปขโมยของพระ จากนั้นก็หนีไป พอพระไปเปิดกระเป๋าเขาดูก็เห็นตั๋วจำนำรายการของที่เป็นของฉันทั้งนั้น จึงโทร.มาบอก
ฉันรู้แล้วอึ้งมาก ทั้งเจ็บใจและเสียความรู้สึกว่าทำบุญกับคนไม่ขึ้น ทั้งที่ฉันก็เคยช่วยเหลือเขามาก่อน ยังมาขโมยของเราได้ แต่เจ็บแค้นไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร จึงพยายามปลงและทำใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
กลายเป็น “นางแบบตกอ่าง”
เมื่อชีวิตเริ่มถึงทางตัน งานหดหาย ไม่มีเงินใช้ ชีวิตจึงพลิกไปอีกเส้นทางหนึ่ง นั่นคือ “ขายบริการ” เริ่มแรกฉันคิดจะไปขุดทองที่บรูไน แต่เอเย่นต์บอกว่า “มีอุ้ยอ้ายมาบรูไนแล้ว”
เนื่องจากมีผู้หญิงที่หน้าตาคล้าย ๆ ฉัน เอาชื่อและผลงานไปแอบอ้างว่าเป็น “อุ้ยอ้าย” เพื่อไปขายบริการที่นั่น จึงไม่สามารถมีอุ้ยอ้ายคนที่สองได้
หลังจากนั้นเพื่อนแนะนำให้ฉันทำงานเป็นสาวไซด์ไลน์ ซึ่งก็คือการขายบริการเต็มตัว แม้จะฝืนกล้ำกลืนเพียงใด ก็ต้องทำ เพราะไม่เห็นทางออกแล้วว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี
ช่วงแรกที่ทำงานนี้ ฉันได้ค่าตัวครั้งละ “ห้าพันบาท” แต่เอเย่นต์ไปเรียกเก็บจากลูกค้ามากกว่านั้น 2 - 3 เท่า รู้ทั้งรู้ แต่ก็จำยอมเพราะไม่มีทางเลือก จำได้ว่าวันแรกที่ทำงานมีลูกค้า 3 - 4 คน จากนั้นก็มีเข้ามาเรื่อย ๆ ฉันพยายามทำงานนี้แค่พอให้ได้เงินมาใช้จ่าย หรือมีข้าวสารกรอกหม้อไปวัน ๆ เท่านั้น ช่วงไหนทำงานได้เงินมากหน่อย ก็จะหยุดงานไปพักหนึ่ง จนไม่มีเงินแล้วถึงกลับมาทำงานอีก
ลูกค้าบางคนดูออกว่าฉันฝืนใจทำงานนี้ ถึงกับเอ่ยปากว่า “ดูเธอไม่ค่อยแฮ็ปปี้เท่าไหร่นะ” ฉันได้แต่คิดในใจว่าใครจะมีความสุขกับการขายตัวแบบนี้ หลายครั้งฉันต้องไปแอบร้องไห้อยู่คนเดียว ทำงานนี้ไปได้พักใหญ่ ลูกค้าเริ่มน้อยลง จึงมีคนแนะนำให้ฉันเปลี่ยนไปทำงานนั่งตู้ ซึ่งแย่กว่าเป็นสาวไซด์ไลน์เสียอีก เพราะต้องไปนั่งตากหน้าอยู่ในตู้รอให้ลูกค้าเลือก ขณะที่งานไซด์ไลน์มีคนโทร.มาบอกว่าให้ไปพบลูกค้าที่ไหน จึงไม่อึดอัดเท่ากับงานนี้
ตอนนั้นฉันอายุสามสิบกว่าแล้ว แต่ต้องมาทำงานนี้ เป็นความรู้สึกที่สุดแสนจะทานทน ที่แย่ยิ่งกว่านั้นคือ บางวันเจอลูกค้าที่เป็นเพื่อนของแฟนเก่า ตอนแรกฉันจำเขาไม่ได้ พอฉันเดินเข้าไปสวัสดี ผู้ชายคนนั้นก็ทักว่า “อ้าว เป็นยังไงบ้างล่ะ”เมื่อจำเขาได้ฉันชาไปทั้งตัว รีบเดินหนีโดยไม่ร่ำลาอะไรทั้งนั้น ลูกค้าบางรายโยนเงินมาให้สองพันบาทแล้วบอกว่า “สองพัน ก็รู้แล้วว่าอุ้ยอ้ายเป็นยังไง” ฉันทั้งเจ็บทั้งชา แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
การทำงานแบบนี้ไม่ได้ช่วยให้ฉันมีชีวิตที่สุขสบายเลยแต่เพราะไม่รู้จะไปทำอาชีพอะไร จึงจำต้องทนทำงานนี้ต่อไป บางวันถึงขั้นไม่มีเงินกินข้าว ต้องไปขอเซ็นกับร้านข้าวแกงแถวบ้านไว้ก่อน จะไปยืมเงินเพื่อนบ้านก็ถูกปิดประตูใส่หน้า ทั้งที่เวลาเขาไม่มียังมายืมเราได้ วันใหม่ที่ขอลิขิตเอง
จุดเปลี่ยนของชีวิตเกิดขึ้นเมื่อมีโอกาสได้เจอ คุณเปิ้ล - วีนัส มีวรรณ ซึ่งเป็นเพื่อนนางแบบเก่าในวงการ เธอชวนไปทำงานที่ร้านอาหารของเธอ ฉันมีความสุขมากที่ได้มาทำงานนี้ ตอนนั้นแค่ตื่นเช้าไปทำงานก็มีความสุขแล้ว ถึงแม้งานจะหนักและเหนื่อยแค่ไหน แต่ก็ภูมิใจว่าเราได้กอบกู้ศักดิ์ศรีคืนมา เราไม่ใช่มนุษย์ที่มี “มูลค่า” อีกแล้ว หากแต่เป็นมนุษย์ที่มี “คุณค่า”
หลังจากนั้นฉันเปลี่ยนไปทำงานเป็นยามที่ร้านถ่ายรูปแถวลาดพร้าว ทำหน้าที่รับบัตรจอดรถ เป็นแม่บ้านที่ห้างสรรพสินค้า จนกลายเป็นข่าวฮือฮาอยู่พักหนึ่ง ปัจจุบันฉันทำงานที่ร้านอาหารแถวพระราม 9 เนื่องจากเจ้าของร้าน
เห็นฉันเป็นแม่บ้านที่ห้างสรรพสินค้า จึงเมตตาสงสารและชักชวนให้ไปทำงานด้วย เมื่อได้งานใหม่ฉันตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ ชีวิตตอนนี้เหมือนฟ้าหลังฝน หลังจากผ่านเรื่องร้าย ๆ มามาก ในที่สุดฉันก็มีวันที่ฟ้าสดใสจนได้
ในวันที่เรื่องร้าย ๆ ผ่านพ้น ฉันอยากใช้ประสบการณ์ชีวิตตัวเองบอกเด็กรุ่นใหม่ว่า การศึกษาสำคัญมาก เพราะการศึกษาเหมือนเข็มทิศนำพาชีวิตเรา ดังนั้นหากมีโอกาสควรตั้งใจศึกษาเล่าเรียน อย่าละทิ้งการเรียนเหมือนฉัน ที่สำคัญ ไม่ควรไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด หากฉันไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดและมีสติรู้คิดมากกว่านั้น ชีวิตคงไม่ตกต่ำถึงเพียงนี้
อย่างไรก็ตาม ฉันขอบคุณเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น เพราะความทุกข์ทำให้ฉันรู้จัก “ธรรมะ” มากขึ้น ในยามที่เครียดมาก ๆ ฉันมักไปหาที่พึ่งทางใจที่วัด ไปอ่านหนังสือธรรมะ ทำให้มีถ้อยคำดี ๆ มาสอนใจตนเองเสมอ
ธรรมะสอนให้ฉันทำชีวิตให้ดีที่สุด อยู่กับปัจจุบัน มองอดีตเป็นขยะ ไม่ต้องเก็บเอามาเครียด นอกจากนั้นยังสอนให้ฉันไม่ดูถูกตนเอง ไม่ดูถูกงาน เพราะงานที่ฉันทำอยู่นี้เป็นสัมมาอาชีพ เป็นงานสุจริตที่ไม่ได้ไปปล้นใคร ไม่ได้ทำอาชีพที่ผิดศีลอย่างการขายบริการ
ฉันไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร แต่เชื่อมั่นว่าตราบใดที่ฉันยังมีธรรมะและคิดดีทำดีแบบนี้ ชีวิตจะไม่มีวันหวนกลับไปทุกข์อีก ขอบคุณความทุกข์ที่ทำให้ฉันเข้มแข็งและมีวันนี้ได้ในที่สุด
Secret BOX
ความสำเร็จทางโลกนั้นมิใช่สรณะที่แท้
ไม่สามารถทำให้เกิดสุขได้อย่างยั่งยืน
เพราะมันมีขึ้นมีลง หาความเที่ยงแท้
แน่นอนไม่ได้ ใครที่เอาชีวิตและความสุข
ผูกกับความสำเร็จทางโลก (หรือทางธรรม)
ก็ย่อมลงเอยด้วยความทุกข์
พระไพศาล วิสาโล
ขอบคณเนื้อหาโดย : นิตยสาร Secret